ยิงแอด Facebook มาหลายครั้งแต่ยอดขายกลับนิ่งสนิท หรือใช้เงินโฆษณาไปมากแต่ไม่รู้ว่าคุ้มไหม? ถ้าคุณคือเจ้าของธุรกิจ ที่อยากเปลี่ยนงบยิงแอดให้กลายเป็นยอดขาย บทความนี้คือคำตอบ
บทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ 5 เคล็ดลับยิงแอด Facebook ที่ “ได้ผลจริง” ใช้ได้กับธุรกิจทุกประเภท พร้อมตัวอย่างการใช้งานที่จับต้องได้ เพื่อให้คุณเข้าใจและนำไปปรับใช้ได้
เคล็ดลับที่ 1 เริ่มต้นด้วย “เป้าหมายที่ชัดเจน” ก่อนลงมือยิงแอด Facebook
Facebook มีตัวเลือก Campaign Objective หรือ “เป้าหมายของแคมเปญ” ที่หลากหลาย ซึ่งสามารถใช้ให้เหมาะกับลักษณะธุรกิจและพฤติกรรมของลูกค้าเป้าหมาย
3 ตัวเลือกที่แนะนำด้านล่างนี้ล้วน “ใช้เพื่อการขาย” ได้ทั้งหมด แต่ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับช่องทางปิดการขายของคุณมากที่สุด

1. อยากให้ลูกค้าทักแชท
วิธีตั้งค่า: เลือก Engagement แล้วเลือก Messages
- เหมาะกับธุรกิจที่เน้นการพูดคุยก่อนปิดการขาย เช่น สินค้าแบบ Made-to-Order หรือบริการที่ต้องอธิบายก่อนตัดสินใจซื้อ
- ระบบจะส่งโฆษณาไปหากลุ่มคนที่มีแนวโน้มเปิด Inbox และเริ่มบทสนทนา

2. อยากให้ลูกค้าซื้อผ่านเว็บไซต์
วิธีตั้งค่า: เลือก Sales แล้วเลือก Pixel Event เป็น Purchase
- เหมาะกับธุรกิจที่มีเว็บไซต์ E‑Commerce พร้อมระบบรับคำสั่งซื้อ
- ต้องติดตั้ง Facebook Pixel และกำหนด Event เป็น Purchase เพื่อให้ระบบรู้ว่าเป้าหมายหลักของคุณคือ “ยอดขายจริง” ไม่ใช่แค่การคลิกโฆษณา

3. อยากให้ลูกค้ากรอกฟอร์ม
วิธีตั้งค่า: เลือก Leads แล้วเลือก Conversion Event เป็น Lead
- เหมาะกับธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการราคาสูง และต้องอาศัยพนักงานขายในการโทรติดตามหรือปิดการขาย เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทรับสร้างบ้าน บริการทำบัญชี บริษัทที่ขายเครื่องจักร หรือแฟรนไชส์ที่ต้องใช้การคัดกรองก่อนสมัคร เป็นต้น
- การตั้งค่า Event เป็น Lead จะช่วยให้ Facebook ค้นหาคนที่มีแนวโน้มกรอกข้อมูลมากที่สุด เพิ่มคุณภาพของรายชื่อที่ได้
การตั้งเป้าหมายให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ จะช่วยให้ Facebook ส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มตอบสนองจริง พร้อมทั้งวัดผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำและนำไปปรับปรุงแคมเปญในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เคล็ดลับที่ 2 ยิงแอดให้ตรงขายได้ด้วย “Lookalike Audience” และ “Custom Audience”
แก้ไขให้ลื่นไหลและคำเป็นธรรมชาติมากขึ้นโดยห้ามเปลี่ยนโครงสร้างการยิงแอดให้คุ้ม ต้องเริ่มจากการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ “มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้า” ซึ่ง Facebook มีเครื่องมือที่ช่วยเรื่องนี้ได้ดีมากคือ:
1. Custom Audience กลุ่มคนที่รู้จักคุณอยู่แล้ว (Retargeting)
เช่น คนที่เคยเข้าเว็บไซต์ เคยกดดูวิดีโอ หรือเคยทักแชท ผู้คนจำนวนไม่น้อยอาจยังไม่ตัดสินใจในครั้งแรกที่เห็นโฆษณา การยิงโฆษณาซ้ำไปยังกลุ่มนี้จึงสำคัญ เพราะช่วยกระตุ้นให้พวกเขากลับมาตัดสินใจ หรือคลิกซื้อในรอบถัดไป
ตัวอย่าง: ผมจะสาธิตการสร้าง Custom Audience สำหรับคนที่เข้าเว็บไซต์ของผมในช่วง 30 วัน
ขั้นตอนการสร้าง กลุ่มเป้าหมายกำหนดเอง
ขั้นตอนที่ 1: เข้ามาที่หน้า Audiences จากนั้นกด “Create Audience” แล้วเลือก “Custom Audience” เพื่อเริ่มสร้างกลุ่มเป้าหมาย

ขั้นตอนที่ 2: เลือกแหล่งที่มาของข้อมูล ในกรณีนี้ให้เลือก “Website” เพราะเราต้องการให้ Facebook เก็บข้อมูลผู้เข้าชมเว็บไซต์

ขั้นตอนที่ 3: ที่ช่อง Source ให้เลือก Pixel ของคุณเองที่เคยสร้างไว้แล้ว
ช่อง Events: เลือก “All Website Visitors” หรือ “ผู้เข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมด” (คุณสามารถเลือก Event อื่น ๆ ได้ เช่น Lead หรือ Purchase แล้วลองทดสอบดู)
ช่อง Audience Retention: ระบุช่วงเวลาที่ต้องการเก็บข้อมูล ในกรณีนี้ผมเลือก 30 วัน
ช่อง Audience Name: ตั้งชื่อกลุ่มเป้าหมายนี้ตามต้องการได้เลย
ตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง แล้วกด “Create Audience” เพื่อสร้าง
เมื่อสร้างเสร็จแล้ว กลุ่มเป้าหมายนี้จะปรากฏตามภาพด้านล่าง และคุณสามารถนำไปใช้กับแคมเปญโฆษณาได้เลย

2. Lookalike Audience หาคนลูกค้าใหม่ที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม
ระบบจะใช้ข้อมูลจากแหล่งที่คุณมีอยู่ เช่น ผู้ที่เคยเข้าเว็บไซต์ รายชื่อ Lead หรือข้อมูลจากระบบ CRM (ถ้ามี) เพื่อนำไปค้นหากลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีพฤติกรรมใกล้เคียงกัน ช่วยให้โฆษณาเข้าถึงคนที่ “มีแนวโน้มจะสนใจสินค้า” ได้มากขึ้น
ในกรณีนี้ ผมจะสร้าง Lookalike จากกลุ่ม “MSK – ผู้เข้าชมเว็บไซต์ในช่วง 30 วัน” หมายความว่า ผมกำลังบอก Facebook ให้ช่วยหาคนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับผู้ที่เคยเข้าเว็บไซต์ของเราในช่วง 30 วันที่ผ่านมา
ขั้นตอนการสร้าง Lookalike Audience
ขั้นตอนที่ 1: เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการใช้เป็นต้นทางสำหรับสร้าง Lookalike ในที่นี้คือ “MSK – ผู้เข้าชมเว็บไซต์ในช่วง 30 วัน”
จากนั้นคลิกที่ไอคอนจุดสามจุด แล้วเลือก “Create Lookalike”

ขั้นตอนที่ 2:
ระบบจะแสดง Lookalike Source เป็นชื่อกลุ่มที่คุณเลือกไว้ตอนต้น
เลือก Location เป็น “ประเทศไทย” แล้วคลิกสร้างได้เลย

หมายเหตุ: โดยปกติระบบจะสร้าง Lookalike ในขนาด 1% ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่ใกล้เคียงกับต้นทางมากที่สุด หากต้องการขยายกลุ่มให้กว้างขึ้น เช่น 1%–3% ก็สามารถตั้งค่าเพิ่มเติมได้ตามลักษณะของสินค้าและขนาดกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการเข้าถึง
หากคุณสร้างทุกอย่างเสร็จแล้ว กลุ่มเป้าแบบ Lookalike ของคุณจะปรากฏดังรูปข้างล่างนี้

เคล็ดลับที่ 3 ยิงแอด Facebook ให้ได้ผล ต้อง “ทดสอบคอนเทนต์”
หลายคนเมื่อเจอโฆษณาที่ได้ผลดีแล้ว มักหยุดทดสอบและใช้ชิ้นเดิมยิงซ้ำเรื่อยๆ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะสิ่งที่เคยได้ผลในวันนี้ อาจไม่สร้างผลลัพธ์เท่าเดิมในอนาคต
สิ่งที่ควรทำคือ “ทดสอบหาเวอร์ชันที่ดีกว่าอยู่ตลอด” เพื่อให้แคมเปญรักษาประสิทธิภาพได้ระยะยาว
1. ทดสอบ Creative
ก่อนจะทุ่มงบยิงแอด คุณควรเริ่มจาก A/B Test โดยเปรียบเทียบ Creative หลายแบบ เช่น:
- ภาพนิ่ง vs วิดีโอ
- แคปชันแบบเน้นโปรโมชั่น vs แบบเล่าเรื่อง
- หัวข้อที่สั้นกระชับ vs หัวข้อแบบคำถาม
เป้าหมายของส่วนนี้คือ ดูว่าแบบไหนได้ CTR (Click-through Rate) สูงที่สุด CTR ที่สูง คือสัญญาณว่า Creative นั้น “ดึงดูดความสนใจ” ได้ดี

2. ทดสอบ Landing Page
เมื่อคนคลิกเข้ามาแล้ว สิ่งที่จะตัดสินว่าพวกเขาจะ “ซื้อ” หรือ “กรอกข้อมูล” หรือไม่ คือ Landing Page
คุณควร A/B Test หน้า Landing Page ด้วย เช่น:
- หน้าแบบสั้น vs หน้ายาว
- หน้าแบบเน้นรีวิวลูกค้า vs หน้าเน้นโปรโมชั่น
- เปรียบเทียบข้อเสนอ (Offer) ที่ต่างกัน
สิ่งที่ต้องวัดในส่วนนี้คือ Conversion Rate คนที่คลิกเข้ามาแล้ว ทำสิ่งที่คุณต้องการ เช่น สั่งซื้อ หรือกรอกฟอร์ม มากน้อยแค่ไหน
ถ้าอัตรานี้ต่ำ แสดงว่า Landing Page ยังไม่สามารถจูงใจหรือโน้มน้าวให้เกิดการตัดสินใจได้ดีพอ ซึ่งควรเร่งปรับปรุงโดยด่วน
จากประสบการณ์ของ MSK Media ในการทำโฆษณาแบบ Website Conversion ให้กับลูกค้าหลายร้อยราย เราพบว่า “ความสำเร็จของแคมเปญส่วนใหญ่มากกว่า 80% ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของ Landing Page” ไม่ใช่แค่ภาพหรือข้อความ หรือ การปรับแต่ง โฆษณาเพียงเท่านั้น
เคล็ดลับที่ 4: ใช้ Landing Page ที่ออกแบบมาเพื่อปิดการขายโดยเฉพาะ
การยิงแอดไปยังหน้าเพจทั่วไปหรือให้ลูกค้า Inbox อาจทำให้หลุดโอกาสขายโดยไม่รู้ตัว หากคุณต้องการเพิ่ม Conversion จริงจัง ควรใช้ Landing Page ที่ออกแบบมาเพื่อโฆษณาโดยเฉพาะ โดยมี 4 องค์ประกอบสำคัญดังนี้:
1. Offer ที่น่าดึงดูด
ข้อเสนอที่ดีไม่ใช่แค่ของแถมหรือส่วนลด แต่ต้อง “แก้ปัญหาที่แท้จริง” ของกลุ่มเป้าหมาย และทำให้เขาเห็นภาพว่า ชีวิตจะดีขึ้นอย่างไรหลังจากรับข้อเสนอนั้น เช่น “โหลดคู่มือเพิ่มยอดขาย 2 เท่าใน 90 วัน” หรือ “ขอใบเสนอราคาฟรี พร้อมวิเคราะห์จุดรั่วงบโฆษณาของคุณ”
2. Copywriting ที่กระตุ้นให้ลงมือ
ใช้หัวข้อที่จับปัญหา + เสนอวิธีแก้ และสื่อสารให้ชัดเจนในภาษาที่เข้าใจง่าย พร้อม A/B Test อย่างสม่ำเสมอ
3. Social Proof เพิ่มความน่าเชื่อถือ
รีวิวจากลูกค้าจริง โลโก้บริษัท หรือวิดีโอ Testimonial ล้วนช่วยลดความลังเลได้ดี
4. Design โน้วน้าวใจกลุ่มเป้าหมาย
หน้าเว็บควรโหลดเร็ว รองรับมือถือ ใช้งานง่าย มีเนื้อหาที่น่าสนใจ และมีปุ่ม CTA ที่เห็นชัดเจน หลีกเลี่ยงองค์ประกอบที่รบกวนสายตาหรือทำให้ลูกค้าลังเลตัดสินใจ
ลองดูตัวอย่าง Landing Page ที่ออกแบบเพื่อ Conversion โดยเฉพาะของเราได้ที่นี่: บริการออกแบบ Landing Page สำหรับยิงแอด
อ่านเพิ่มเติม: เพิ่ม Conversion Rate ด้วย Landing Page – เทคนิคที่เราใช้จริง
เคล็ดลับที่ 5: วิเคราะห์ผลแคมเปญ และแก้ไขให้เป็น
ยิงแอดให้ขายได้ ต้องไม่ดูแค่ยอดขาย แต่ต้องวิเคราะห์ให้เป็นว่าจุดไหนที่ควรปรับ และจุดไหนที่ควรเพิ่มงบ โดยดูจากประเภทของแคมเปญเป็นหลัก:
กรณี 1: ยิงแอดให้ลูกค้าทักแชท (Messages)
เหมาะกับธุรกิจที่ต้องพูดคุยก่อนปิดการขาย เช่น สินค้าที่ต้องอธิบายเพิ่มเติม หรือบริการที่ต้องนัดเวลา
ตัวชี้วัดหลักที่ควรติดตาม:
- Messaging Conversations Started
ดูว่ามีคนเริ่มแชทจริงกี่คน ถ้าจำนวนน้อย แสดงว่าโฆษณายังไม่จูงใจพอ - Cost per Message
ถ้าค่าทักแชทต่อครั้งสูงเกินกำไรเฉลี่ยต่อดีล ควรปรับกลุ่มเป้าหมายหรือเปลี่ยน Creative ให้สื่อสารตรงประเด็น - CTR (Click-through Rate)
ถ้าคลิกน้อย แปลว่าโฆษณายังไม่น่าสนใจพอ ต้องลองเปรียบเทียบหลายเวอร์ชัน (A/B Test)
- ROAS (Return on Ad Spend)
วัดผลตอบแทนจากเงินโฆษณา ว่าคุณใช้เงินไปเท่าไหร่ และได้ยอดขายกลับมากี่เท่า ถ้าทักแชทเข้ามาเยอะ แต่ ROAS ยังต่ำ แสดงว่าอาจมีจุดที่ต้องปรับในขั้นตอนการปิดการขาย หรือข้อเสนอที่ยังไม่ตอบโจทย์มากพอ
เพิ่มเติม:
หลังจากมีคนทักแชทเข้ามาแล้ว อย่าลืมดูด้วยว่า “มีคนคุยต่อจริงกี่คน” และ “สามารถปิดการขายได้กี่คน”
ให้คำนวณ อัตราการปิดการขาย โดยใช้สูตร:
คนที่ซื้อจริง ÷ คนที่เริ่มแชท × 100 = เปอร์เซ็นต์การปิดการขาย
ถ้าเปอร์เซ็นต์การปิดการขายต่ำ แสดงว่าปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่โฆษณา แต่อยู่ที่การตอบแชท
ควรพิจารณาทบทวนวิธีพูดคุย เช่น การอธิบายสินค้า, การให้ข้อมูล, หรือการ Follow-up เพื่อช่วยปิดกาขายได้ดีขึ้น
กรณี 2: ยิงแอดเพื่อขายผ่านเว็บไซต์ (Sales)
สำหรับธุรกิจที่มีระบบสั่งซื้อออนไลน์ เช่น E-Commerce หรือบริการที่ให้ลูกค้าจ่ายเงินผ่านเว็บไซต์โดยตรง
ตัวชี้วัดหลักที่ควรติดตาม:
- Purchase / Conversion Events
จำนวนครั้งที่มีคนสั่งซื้อสินค้า หรือใช้บริการของคุณผ่านเว็บไซต์ เป็นตัววัดว่าสุดท้ายแล้วมี “ยอดขาย” จากโฆษณากี่ครั้ง - Cost per Purchase
ต้นทุนต่อการสั่งซื้อ 1 ครั้ง ควรจับตาดูให้ดี หากตัวเลขนี้เข้าใกล้หรือเกินราคาสินค้าที่ขาย คุณอาจเข้าสู่สภาวะขาดทุนได้ - Conversion Rate
จำนวนคนที่เข้าเว็บไซต์ กับจำนวนที่สั่งซื้อจริง ช่วยให้รู้ว่าคนเข้ามาแล้ว “ซื้อ” คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ - Cost per Outbound Click
ต้นทุนต่อคลิกที่พาคนออกจาก Facebook ไปยังเว็บไซต์ - Purchase Conversion Value
มูลค่ารวมของยอดขายที่เกิดขึ้นจากแคมเปญโฆษณานั้น แสดงว่าคุณขายของได้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่จากการยิงแอด - ROAS (Return on Ad Spend)
เป็นตัวชี้วัดหลักว่าเงินที่คุณใช้ยิงแอด ได้ผลตอบแทนกลับมากี่เท่า ซึ่งมักเป็นตัวเลขสำคัญที่สุดสำหรับแคมเปญแบบ E-Commerce
หมายเหตุ:
หากคุณยังไม่แน่ใจว่า ROAS คืออะไร หรือจะคำนวณและวิเคราะห์อย่างไร เราได้เขียน บทความ + โปรแกรมการคำนวน ROAS ไว้แล้ว อ่านต่อได้ที่: ROAS คืออะไร? เท่าไหร่ถึงคุ้ม และสิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด
กรณี 3: ยิงแอดเพื่อเก็บรายชื่อ (Lead Generation)
สำหรับสินค้าหรือบริการที่มีราคาสูง ต้องใช้ทีมขาย หรือมีหลายขั้นตอนก่อนปิดการขาย เช่น ธุรกิจ B2B แฟรนไชส์ หรือบริการเชิงให้คำปรึกษา
ตัวชี้วัดหลักที่ควรติดตาม:
- Leads
จำนวนคนที่กรอกข้อมูลในเว็บไซต์ของเรา - Cost per Lead (CPL)
ต้นทุนต่อ 1 รายชื่อ ว่าเราต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ถึงจะได้ Lead เข้ามาหนึ่งคน - Outbound Click
จำนวนคนที่คลิกออกจาก Facebook ไปยังเว็บไซต์ - Cost per Outbound Click
ต้นทุนต่อการคลิก 1 ครั้งที่พาคนไปยังหน้า Landing Page - Conversion Rate
สัดส่วนของคนที่คลิกเข้าไป แล้วกรอกข้อมูล คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดที่คลิก
หมายเหตุ:
อย่าดูแค่จำนวน Lead อย่างเดียว ควรให้ทีมขายช่วยประเมิน “คุณภาพของรายชื่อ” ด้วย โดยวัดจากจำนวน Lead ที่ “พร้อมคุย” หรือ “มีแนวโน้มจะซื้อ” แล้วนำมาหารกับ Lead ทั้งหมด จะได้เป็นค่า เปอร์เซนต์ Quality Leads ที่ใช้วิเคราะห์ได้ว่าคุณยิงแอดได้ดีแค่ไหน
ยิงแอด Facebook ปี 2025 ไม่ได้ยาก…ถ้ารู้ 5 ข้อนี้
การยิงแอด Facebook ให้ขายดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดวงหรือความรู้สึก แต่ขึ้นอยู่กับ การวางแผนอย่างแม่นยำ + การวัดผลอย่างเป็นระบบ
ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่ “อยากเปลี่ยนงบโฆษณาให้เป็นยอดขาย” นี่คือสิ่งที่ควรโฟกัส:
- เลือกเป้าหมายให้เหมาะกับธุรกิจ (Chat, Website, Lead) เพื่อให้ระบบส่งแอดไปหาคนที่ตรงที่สุด
- ใช้กลุ่มเป้าหมายให้เป็น โดยเฉพาะ Custom & Lookalike ที่ช่วยประหยัดงบ และได้คนที่มีแนวโน้มซื้อสูง
- ทดสอบคอนเทนต์อยู่เสมอ ทั้ง Creative และ Landing Page เพื่อรักษาประสิทธิภาพและเพิ่ม Conversion
- ทำ Landing Page ให้พร้อมปิดการขาย ไม่ใช่แค่หน้าสวย แต่ต้องสื่อสาร “ข้อเสนอที่เปลี่ยนใจคนได้”
- วัดผลให้ถูกจุด แยกตามแคมเปญ แล้วค่อยปรับให้ตรง ไม่ว่าจะยิงแบบแชท เว็บไซต์ หรือ Lead Gen
และสิ่งสำคัญที่สุด:
อย่าหยุด A/B Test เพียงเพราะแคมเปญทำยอดขายได้ดี โฆษณาที่สร้างรายได้ในเดือนนี้ อาจไม่ให้ผลลัพธ์แบบเดิมในเดือนหน้าโลกของการตลาดออนไลน์เปลี่ยนเร็วเสมอ
หน้าที่ของคุณคือ “มองหาทางเลือกที่ดีกว่า” อยู่เสมอ เพื่อให้แคมเปญได้ผลระยะยาว
ตอบข้อสงสัยสำหรับการ ยิงแอด Facebook
ลองเริ่มจากดู “อัตราการปิดการขาย” ก่อน ว่าคนทักมากี่คน แล้วซื้อจริงกี่คน ถ้าสัดส่วนต่ำ แปลว่าปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่แอด แต่อยู่ที่วิธีตอบแชท เช่น การอธิบายยังไม่ชัดเจน หรือข้อเสนอยังไม่โดนใจ ลองให้ทีมขายลองเปลี่ยนวิธีคุย หรือลอง Follow-up ดูก่อนตัดสินใจปรับแอด
ได้ครับ แต่ควรเริ่มจาก ข้อมูลของคนที่ซื้อของไปแล้ว หรือคนที่เคยกรอกฟอร์ม เพราะระบบจะเข้าใจว่ากลุ่มไหนคือ “ตัวจริง”
ไม่จำเป็นครับ คุณแค่ต้องเริ่มจาก Testing แบบเล็กๆ เช่น เปรียบเทียบภาพ A กับ B หรือ Landing Page สั้นกับยาว แล้วดูว่าอะไรได้ CTR หรือ Conversion ดีกว่า เมื่อรู้ผลแล้วค่อยเพิ่มงบในสิ่งที่ชนะ แต่จำนวนของคนที่วัดผลต้องมากพอด้วยนะครับ ไม่ใช่แค่ได้ 10 คลิกแล้วตัดสินใจได้เลยว่าอันไหนดีกว่ากัน
ต้องทำ “อย่างต่อเนื่อง” ตลอดช่วงที่ยิงแอด เพราะสิ่งที่เคยได้ผลวันนี้ อาจไม่เวิร์คในเดือนหน้า การทำ A/B Test อย่างสม่ำเสมอคือหัวใจของแคมเปญที่สร้างยอดขายได้ระยะยาว
ยังได้ผลอยู่แน่นอน หากใช้ให้ถูกวิธี Facebook ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และมีเครื่องมือโฆษณาที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แต่การจะยิงแอดให้ได้ผลในปี 2025 ต้องอาศัย “กลยุทธ์ที่แม่นยำ” เช่น การเลือกเป้าหมายที่ตรงจุด ใช้กลุ่มเป้าหมาย Custom & Lookalike อย่างถูกต้อง และวัดผลแบบแยกตามประเภทแคมเปญ ไม่ใช่ยิงแบบหว่านไปเรื่อย ๆ แล้วหวังให้เกิดยอดขายเอง
อ้างอิงข้อมูล https://www.springnews.co.th/digital-business/digital-marketing/856444
จากประสบการณ์ของ MSK Media ที่ทำแคมเปญให้แม่ค้าออนไลน์มาแล้วหลายร้อยเคส แคมเปญแบบ “ทักแชท” หรือ Messages มักได้ผลดีที่สุด โดยเฉพาะถ้าสินค้าราคาไม่สูงมาก เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือของใช้ทั่วไป เพราะคนกลุ่มนี้มักตัดสินใจง่ายขึ้นเมื่อได้พูดคุยกับแม่ค้าโดยตรง
การตั้งค่าแคมเปญแบบ Messages ช่วยให้โฆษณาถูกส่งไปยังกลุ่มที่ “มีแนวโน้มอยากแชท” จริง ๆ ทำให้มีโอกาสปิดการขายได้ไว