หนึ่งในความท้าทายที่ทีมขายและการตลาดต้องเผชิญคือ การได้รับ Leads จำนวนมาก แต่ไม่สามารถปิดการขายได้ เพราะลูกค้าไม่พร้อมซื้อ ไม่มีงบประมาณ หรือยังไม่ใช่ผู้มีอำนาจตัดสินใจ — ปัญหาเหล่านี้สามารถลดลงได้ หากคุณใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า BANT Framework ในการคัดกรองลูกค้า
BANT Framework คืออะไร?
BANT เป็น Framework ที่ช่วยให้ทีมขายสามารถประเมินความพร้อมของลูกค้าในการซื้อได้อย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่:
- Budget (งบประมาณ) – ลูกค้ามีงบประมาณเพียงพอสำหรับซื้อสินค้าหรือบริการหรือไม่?
- Authority (อำนาจตัดสินใจ) – คนที่เรากำลังพูดคุยด้วยสามารถตัดสินใจได้หรือไม่?
- Need (ความต้องการ) – ลูกค้ามีปัญหาหรือความต้องการที่ต้องการให้แก้ไขจริงหรือไม่?
- Time (ระยะเวลา) – ลูกค้ามีแผนที่จะตัดสินใจซื้อเมื่อใด?
การใช้ BANT Framework อย่างถูกวิธี จะช่วยให้ทีมขายสามารถโฟกัสกับ Leads ที่มีแนวโน้มปิดการขายได้สูง และจัดลำดับความสำคัญของงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างการใช้งาน BANT Framework ในชีวิตจริง

Lead A:
- Budget: 25 คะแนน (มีงบเพียงพอในการซื้อ)
- Authority: 15 คะแนน (เป็นผู้จัดการที่ยังต้องขออนุมัติจากเจ้าของ)
- Need: 25 คะแนน (มีความต้องการชัดเจน)
- Time: 20 คะแนน (วางแผนซื้อภายใน 2 เดือน)
→ รวม 85 คะแนน
แนวทางการปิดการขาย Lead A:
ควรเร่งติดตามด้วยข้อเสนอที่ชัดเจนและมีแรงจูงใจ เช่น ส่วนลดเฉพาะช่วงเวลา หรือโปรเจกต์ตัวอย่าง พร้อมส่งข้อมูลที่ช่วยให้เขานำเสนอเจ้านายได้ง่ายขึ้น เช่น Case Study หรือ ROI Model
Lead B:
- Budget: 10 คะแนน (งบประมาณไม่พอ)
- Authority: 10 คะแนน (ไม่มีอำนาจตัดสินใจ)
- Need: 10 คะแนน (ยังไม่เร่งแก้ปัญหา)
- Time: 5 คะแนน (ยังไม่มีแผนซื้อ)
→ รวม 35 คะแนน
แนวทางการปิดการขาย Lead B:
ยังไม่ควรเร่งปิดการขาย แต่ควรเก็บไว้ในระบบ CRM พร้อมเซ็ต Email Automation เพื่อติดตามอย่างต่อเนื่อง ส่งเนื้อหาสร้างการรับรู้ เช่น Ebook, Tips, หรือ Success Story เพื่อค่อยๆ ทำให้ลูกค้ารู้สึกพร้อมในอนาคต
ทำไม BANT Framework จึงช่วยให้ปิดการขายได้ดีขึ้น
- ช่วยคัดกรอง Leads ที่มีคุณภาพ
- ลดเวลาที่เสียไปกับ Leads ที่ไม่พร้อมซื้อ
- วางแผนการติดตามและการนำเสนอได้อย่างแม่นยำ
ปรับใช้ BANT ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ

BANT Framework ไม่ใช่สูตรตายตัว ธุรกิจสามารถปรับน้ำหนักของแต่ละปัจจัยให้เหมาะกับบริบทของตนได้ โดยพิจารณาจากธรรมชาติของลูกค้าและกระบวนการตัดสินใจที่แตกต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น:
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ลูกค้าในกลุ่มนี้มักใช้เวลาหลายเดือนในการตัดสินใจซื้อ เช่น การเลือกซื้อบ้าน คอนโด หรือที่ดิน ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่มีมูลค่าสูงและต้องผ่านการพิจารณาหลายด้าน
✅ สำคัญมาก: Budget และ Need – ลูกค้าต้องมีความพร้อมด้านงบประมาณ และมีความตั้งใจซื้อจริง
🔻 สำคัญน้อยกว่า: Time – เพราะแม้จะใช้เวลานาน ก็ยังถือว่าเป็น Lead ที่มีคุณภาพ หากปัจจัยอื่นพร้อม
สำนักงานกฎหมาย
ลูกค้ามักเข้ามาเมื่อมีปัญหาเฉพาะหน้า เช่น คดีฟ้องร้อง ปัญหาสัญญา หรือต้องการคำปรึกษาเร่งด่วน การตัดสินใจมักเกิดขึ้นเร็วหากปัญหามีความเร่งด่วน
✅ สำคัญมาก: Time และ Need – เพราะลูกค้ากำลังมองหาวิธีแก้ไขโดยเร็ว และมี Pain Point ชัดเจน
🔻 สำคัญน้อยกว่า: Budget – ในบางกรณี ลูกค้าอาจยังไม่ชัดเจนเรื่องงบ แต่ความเร่งด่วนทำให้ยอมจ่ายได้มากขึ้น
ธุรกิจ SaaS หรือบริการ B2B ด้านการตลาด (เช่น MSK Media)
ลูกค้าในกลุ่มนี้อาจยังไม่เข้าใจปัญหาชัดเจนในตอนแรก หรือไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณขายสามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ดังนั้นการ Educate Market เป็นสิ่งสำคัญ
✅ สำคัญมาก: Authority, Need และ Budget – ผู้มีอำนาจตัดสินใจต้องเข้าใจปัญหาหรือเป้าหมายที่ต้องการแก้ไขอย่างชัดเจน ว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร และบริการของเราจะตอบโจทย์นั้นได้อย่างไร พร้อมทั้งต้องอยู่ภายใต้งบประมาณที่เหมาะสม
🔻 สำคัญน้อยกว่า: Time – เพราะการตัดสินใจในองค์กรอาจใช้เวลาหลายขั้นตอน การเร่งขายเร็วเกินไปอาจทำให้ Lead รู้สึกถูกกดดันจนไม่อยากร่วมงานกับเรา
BANT Framework + การตลาด = ทีมที่ทำงานสอดประสานกัน
การใช้ BANT ไม่ได้จำกัดแค่ทีมขายเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ทีมการตลาดได้รับ Feedback ที่แม่นยำเกี่ยวกับคุณภาพของ Leads และสามารถปรับแคมเปญโฆษณา เช่น Google Ads หรือ Facebook Ads ให้ดึงดูด Leads ที่มีคุณภาพสูงขึ้น
บทสรุป
ลองนำแนวทาง BANT Framework ไปปรับใช้กับทีมของคุณดูครับ ไม่เพียงแค่ปิดการขายได้มากขึ้น แต่ยังช่วยให้ทีมขายและทีมการตลาดเข้าใจและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมด้วย หากคุณต้องการ Lead เพื่อให้ทีมขายของคุณปิดการขาย MSK Media พร้อมออกแบบ Funnel ที่ช่วยให้คุณได้ Leads คุณภาพพร้อมเสิร์ฟให้กับทีมขายของคุณถึงที่
สำหรับใครอยากดูเรื่อง BANT Framework ในรูปแบบของวีดีโอ
คำถามที่พบบ่อย
ไม่จำเป็นต้องทิ้งครับ แต่ควรประเมินว่าเป็น Lead ที่อยู่ใน “ขั้นตอนการบ่มเพาะ” มากกว่า โดยเฉพาะถ้าเขามี Need ชัดเจนแต่ยังไม่มีงบหรืออำนาจ อาจต้องใช้เวลา Educate หรือทำ Nurturing Campaign ไปก่อน เช่น ส่งอีเมลความรู้ หรือ Case Study เพื่อให้เขาเข้าใจและพร้อมขึ้นในอนาคต
ใช้ได้ครับ แต่ต้องปรับให้เหมาะกับบริบท เช่น ถ้าคุณขายสินค้าราคาต่ำในปริมาณมาก (เช่น B2B ขายเครื่องเขียนให้บริษัท) ปัจจัย Time อาจไม่สำคัญมาก แต่ Budget และ Authority ยังสำคัญอยู่ เพราะถ้าคนที่คุยไม่มีอำนาจอนุมัติ ก็ปิดการขายไม่ได้เหมือนกัน
ไม่มีมาตรฐานตายตัวครับ แต่หลายทีมใช้ระบบ 5–25 คะแนนต่อข้อ แล้วรวมเป็นคะแนนรวม 100 เพื่อดูว่า Lead นี้ควรส่งต่อหรือยังไม่พร้อม เช่น 80 ขึ้นไปถือว่าพร้อมขาย, ต่ำกว่า 50 ควร Nurture ก่อน ทั้งนี้ต้องดูควบคู่กับ Insight จากทีมขายด้วย ไม่ควรยึดตัวเลขอย่างเดียว
เราสามารถใช้คำถามแบบอ้อมเพื่อเก็บข้อมูลได้ เช่น แทนที่จะถามตรงว่า “งบประมาณของคุณคือเท่าไร” ลองถามว่า “โดยปกติแล้วโครงการลักษณะนี้ คุณเคยลงทุนประมาณเท่าไร?” หรือ “ถ้ามี Solution ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ดี คุณมีแผนเริ่มเมื่อไร?” จะช่วยให้ได้ข้อมูลโดยไม่ทำให้ลูกค้าอึดอัด
เคยครับ โดยเฉพาะกับลูกค้า B2B ที่ยังไม่เข้าใจปัญหาของตัวเองอย่างชัดเจน
เราเคยเจอ Lead ที่ตอนแรกดูเหมือนไม่พร้อมทั้ง
Budget และ Need ถ้าเราดูแค่จากคะแนน BANT
อาจมองข้ามไปแล้ว แต่หลังจากเราทำ Discovery Call เชิงลึก
กลับพบว่าลูกค้ามี Pain Point ใหญ่ เพียงแต่เขายังอธิบายไม่ได้ว่าอยากแก้อะไร
พอเราเล่าให้ฟังว่าเคยช่วยธุรกิจแบบเขายังไง เขากลับมาสนใจและเราปิดการขายได้ในที่สุด
เพราะฉะนั้น BANT ไม่ใช่เครื่องมือวิเศษ ที่จะบอกคุณได้ทุกอย่างในทันที
มันเป็นเพียงกรอบคิดเบื้องต้น ที่ต้องใช้ควบคู่กับทักษะการฟัง การตั้งคำถาม และความเข้าใจเชิงลึกต่อบริบทของลูกค้าเท่านั้น ถึงจะใช้ได้ผลจริง