ถ้าคุณยังคิดว่าการปิดการขายคือการพูดเก่ง หรือพยายามโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อให้ได้
ขอบอกเลยว่า…คุณอาจกำลังใช้วิธีที่ตกยุคไปแล้ว
ในยุคที่ลูกค้ารู้ข้อมูลแทบทุกอย่างก่อนจะคุยกับเซลส์
คนที่จะขายได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่คนที่พูดเก่งที่สุด
แต่คือคนที่ ฟังเก่ง รู้จริง และเข้าใจปัญหาของลูกค้าได้ลึกที่สุด
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักเทคนิคการขายที่ใช้ได้จริง
จากแนวคิดระดับโลกในหนังสือ The Art of Closing the Sale โดย Brian Tracy
ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่มือหลักที่เราใช้เทรนทีมขายของ MSK Media
เพราะเราไม่ได้แค่อยากให้คุณ “ปิดการขายได้”
แต่ให้คุณ “ขายได้แบบมีคุณค่า”
จนลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ พร้อมรอยยิ้มกับความเชื่อมั่นในตัวคุณ….
โลกของการขายเปลี่ยนไปแค่ไหน? แล้วเราต้องปรับตัวยังไง
ยุคดิจิทัลเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ซื้อยังไง?
- ลูกค้าศึกษาข้อมูลเองได้แทบทุกอย่างจาก Google, YouTube และรีวิว
- การตัดสินใจซื้อไม่ได้เริ่มจากเซลส์ แต่จาก “ความรู้สึกไว้วางใจ”
- ลูกค้าไม่ต้องการคนขาย แต่ต้องการ “ที่ปรึกษา”
สิ่งที่นักขายยุคใหม่ต้องรู้ (และเลิกทำ)
- หยุดพูดถึงฟีเจอร์แบบรัว ๆ แล้วเริ่มฟังปัญหาให้มากขึ้น
- เลิกพรีเซนต์แบบ Slide Deck เดิม ๆ แล้วลองตั้งคำถามดี ๆ แทน
- โฟกัสที่ “ผลลัพธ์ของลูกค้า” ไม่ใช่ “ข้อดีของสินค้าเรา”
จากการขายแบบยัดเยียด ให้มาขายแบบให้คำแนะนำ
การขายในยุคนี้ ไม่ได้วัดกันที่ใครปิดดีลเร็ว แต่คือใคร “เข้าใจลูกค้าได้ลึกกว่า”
นักขายยุคใหม่ไม่ใช่คนที่พูดเก่งที่สุด แต่เป็นคนที่ เจาะให้เจอว่า… ลูกค้ากำลังติดปัญหาอะไร
- เขาอยากไปถึงเป้าหมายไหน
- อะไรคืออุปสรรค
- แล้วเราช่วยให้เขาไปถึงตรงนั้นได้จริงไหม?

ลองนึกถึง “หมอ” (ในความคิดส่วนตัวของผม หมอ คือนักปิดการขายที่เก่งที่สุด)
หมอไม่ได้เสนอแพ็กเกจทันทีที่คนไข้เข้ามา
แต่เริ่มจากการซักถาม ฟังอาการ วิเคราะห์ แล้วจึงแนะนำแนวทางที่ดีที่สุดให้กับคนไข้แต่ละคน
เพราะสิ่งที่หมอขาย ไม่ใช่ยา หรือ บังคับให้คุณรักษา แต่คือ “ความมั่นใจว่าหมอจะรักษาคุณจนหาย”
ลูกค้าก็ไม่ต่างกัน
พวกเขาไม่ได้อยากฟังโปรโมชั่นหรือฟีเจอร์ที่ดีที่สุด
แต่ต้องการใครสักคนที่ “เข้าใจเขา” และแนะนำทางออกจากคนที่เขาเชื่อมั่นได้จริงๆ เช่น หมอ…
และนั่นคือเหตุผลว่า… ทำไมนักขายที่ขายแบบหมอ ถึงปิดการขายได้ง่ายกว่าโดยไม่ต้องยัดเยียดเลย
เทคนิคปิดการขายแบบ Brian Tracy
เข้าใจจิตวิทยาการตัดสินใจของลูกค้า
- คนซื้อเพราะ “ความมั่นใจในสิ่งที่จะเกิด” ไม่ใช่เพราะโดนพูดเก่ง
- ลูกค้าต้องรู้สึกว่า “ซื้อแล้วจะดีขึ้นจริง” เท่านั้น
6 เทคนิคการปิดการขายแบบ Brian Tracy

- Assumptive Close: ทำเหมือนว่าเขาตัดสินใจแล้ว เช่น “เรานัด Onboard กันวันไหนดีครับ?”
- Summary Close: สรุปข้อดีทั้งหมดก่อนขอคำตัดสินใจ
- Alternative Close: ให้เลือก เช่น “คุณอยากเริ่มต้นแบบรายเดือนหรือรายปีดีครับ?”
- Trial Close: เช็กความรู้สึกกลางทาง เช่น “ถ้าได้ผลแบบนี้จริง คุณว่าคุ้มไหมครับ?”
- Urgency Close: สร้างแรงกระตุ้น เช่น “ถ้าผมทำตามเงื่อนไขที่คุณแจ้งมาได้ สามารถตัดสินใจได้วันนี้เลยใช่ไหมครับ”
- Suggestion Close: แนะนำแบบจริงใจ เช่น “ถ้าเป็นผม ผมจะเลือกออปชัน B เพราะการใช้งานเหมาะกับบริษัทของคุณมากกว่า”
วิธีฝึกทีมขายให้ปิดการขายได้ดีขึ้นในยุคนี้
ต้องฝึกเรื่องอะไร? ไม่ใช่แค่ “พูดให้เก่ง”
ฟังลูกค้าให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
ทักษะ “การฟัง” คือรากฐานของการขายในยุคใหม่
ทีมขายต้องฝึกฟังแบบเข้าใจ “ความต้องการจริง” ไม่ใช่แค่ฟังคำตอบที่ได้ยิน
เพราะลูกค้าหลายคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องการอะไร
การฝึกให้ทีมเซลส์ตีความเบื้องหลังคำพูด เช่น การเว้นจังหวะ น้ำเสียง หรือคำที่เลี่ยงตอบ
จะช่วยให้เข้าใจ Pain Point ได้มากกว่าคำว่า “ขอไปคิดดูก่อน” หลายเท่า
สร้างคำถามที่เปิดประเด็นให้ลูกค้า “คิด”
คำถามที่ดี = เครื่องมือเปิดใจลูกค้า
ทีมขายควรฝึกใช้ “คำถามปลายเปิด” ที่กระตุ้นให้ลูกค้าเล่า และมองเห็นปัญหาด้วยตัวเอง
แทนที่จะถามว่า “คุณสนใจบริการเราหรือเปล่า?”
ลองถามว่า
“ตอนนี้คุณใช้วิธีไหนในการแก้ปัญหานี้อยู่?”
“อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณยังไม่ตัดสินใจ?”
คำถามแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ทีมขายเข้าใจลูกค้า แต่ยังช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่า “คุณเข้าใจเขา” ด้วย
ฝึก Present แบบ Personalized
พรีเซนต์แบบกว้าง ๆ ใช้ไม่ได้ผลกับลูกค้ายุคนี้
สิ่งที่ต้องฝึกคือการทำ Pitch ที่ “เฉพาะเจาะจงกับลูกค้ารายนั้นจริง ๆ”
เช่น ถ้าลูกค้าทำธุรกิจร้านอาหาร อย่าพูดแค่ “ระบบเราช่วยบริหารจัดการได้ดี”
แต่พูดให้เห็นภาพว่า
“ระบบเราช่วยลดของเสียในสต็อกวัตถุดิบลงเฉลี่ย 18% ภายใน 2 เดือน ซึ่งเหมาะกับร้านที่มีเมนูหมุนบ่อยอย่างคุณ”
การฝึกให้ทีมขายรู้จัก “ดึง Insight จากข้อมูลลูกค้า” และแปลงเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย
จะช่วยให้ Present ได้โดนใจและปิดการขายง่ายขึ้นมาก
วิธีฝึกจำลองสถานการณ์ (Role Play) ให้ได้ผลจริง

ใช้โจทย์สถานการณ์ใกล้เคียงของจริง
การ Role Play ที่ดีต้องตั้งโจทย์ให้ “ใกล้เคียงชีวิตจริง” มากที่สุด
เช่น ใช้เคสของลูกค้าจริงที่เคยเจอมา หรือสถานการณ์ที่ทีมเซลส์เคยเจอแล้วปิดไม่ได้
เพื่อให้การฝึกไม่ใช่แค่เล่น ๆ แต่มีโอกาสพัฒนาจริง
มีผู้เล่นเป็น “ลูกค้าตัวแสบ” เพื่อฝึกแก้เกม
บางครั้งการฝึกแบบง่ายเกินไป ทำให้ทีมขายเตรียมตัวรับมือเฉพาะสถานการณ์ที่ “ลูกค้าน่ารัก”
แต่ความจริงคือ ลูกค้าตัวจริงอาจ “แย้ง, ถามเยอะ, หรือแสดงความไม่เชื่อ”
การให้เพื่อนร่วมทีมสวมบทเป็น “ลูกค้าตัวแสบ”
จะช่วยให้ทีมขายฝึกการควบคุมสถานการณ์ เจรจาอย่างมืออาชีพ และไม่หลุดโฟกัส
วัดผลจากความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ปิดได้หรือไม่
จุดประสงค์ของ Role Play ไม่ใช่แค่ “ขายได้ไหม”
แต่คือการวัดว่าเซลส์เข้าใจปัญหาลูกค้าหรือยัง? ถามคำถามได้ดีไหม?
เสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงหรือเปล่า?
การวัดผลแบบมี Feedback จากโค้ชหรือทีม Lead จะช่วยให้ทีมขายพัฒนาแบบมีทิศทาง
ใช้เครื่องมือช่วยพัฒนา ทักษะการขาย ในยุคออนไลน์
ใช้ CRM เพื่อเก็บ Feedback
CRM ไม่ใช่แค่ระบบบันทึกลูกค้า แต่คือแหล่งข้อมูลมหาศาล
ทีมขายควรฝึกอ่านพฤติกรรมลูกค้าในระบบ เช่น
- ลูกค้าคนนี้เปิดอีเมลไหม?
- คลิกอ่านคอนเทนต์อะไร?
- เคยพูดถึง Pain อะไรไว้บ้าง?
การเรียนรู้จากข้อมูลเก่า ช่วยให้คุยรอบใหม่ได้แม่นกว่าเดิม
ฝึกด้วย AI Coaching Tool หรือวิดีโอเทรนนิ่ง

บันทึกวิดีโอไว้ แล้วใช้ AI วิเคราะห์ข้อผิดพลาดในการพรีเซนต์สินค้าของเรา ไม่ว่าเป็นจะ ChatGPT หรือ เจ้าอื่นๆก็ได้ครับ
AI จะสามารถวิเคราะห์ว่า
– เราพูดมากเกินไปไหม?
– เน้นฟีเจอร์มากไปหรือตอบไม่ตรง Pain ลูกค้า?
– ตั้งคำถามดีพอไหม หรือมัวแต่เล่าเองคนเดียว?
การดูย้อนหลังพร้อมข้อมูลวิเคราะห์แบบนี้ จะช่วยให้ทีมขาย “เห็นจุดที่ผิดพลาดของตัวเอง” และปรับให้ดีขึ้นได้แบบตรงจุด ไม่ต้องเดาเอง
การฝึกแบบนี้ช่วยให้ทีมขาย “เห็นตัวเอง” และปรับปรุงได้จริงในระดับละเอียด
ใช้ระบบ Lead Scoring เพื่อประเมิน คุณภาพของ Leads
ในการรับมือกับ Lead จำนวนมาก สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ “ตามให้ครบ”
แต่คือการรู้ว่า ควรโฟกัสกับใครก่อน
จากประสบการณ์ของทีมขายที่ MSK Media
เราเคยเจอกับปัญหาคลาสสิก: Lead เยอะจนไม่รู้จะจัดการอย่างไร
หลายครั้งที่เสียเวลาไปกับลูกค้าที่ “ยังไม่พร้อมซื้อ”
แต่หลังจากที่เราเริ่มใช้ระบบ Lead Scoring ควบคู่กับ BANT Framework
ประสิทธิภาพในการปิดการขายของทีมก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน
BANT Framework ช่วยให้ทีมขายประเมินว่า Lead รายนั้น “มีศักยภาพในการซื้อ” หรือไม่
โดยใช้ 4 ปัจจัยหลักเป็นเกณฑ์:
B – Budget: ลูกค้ามีงบประมาณเพียงพอหรือไม่
A – Authority: เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจจริง หรือแค่ผู้ประสานงาน
N – Need: ปัญหาที่ลูกค้ากำลังเจอ มีความเร่งด่วนและชัดเจนแค่ไหน
T – Timing: ลูกค้ามีแผนจะตัดสินใจเร็ว ๆ นี้หรือยัง
เราให้ทีมขายใช้ ตาราง BANT เพื่อให้คะแนน Lead แต่ละรายตาม 4 ปัจจัยนี้
ผลลัพธ์ที่ได้คือทีมสามารถ จัดลำดับความสำคัญ ได้ดีขึ้น
และโฟกัสกับ Lead ที่ “มีแนวโน้มจะซื้อจริง” มากกว่าที่เคย
ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ อัตราการปิดการขาย (Closing Rate) เพิ่มขึ้นถึง 30%
เพราะทีมขายสามารถ บริหารเวลาและโอกาสทางการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
📌 ถ้าอยากดูวิธีใช้งาน BANT Framework แบบละเอียด พร้อมตัวอย่างการให้คะแนน
อยากเป็นตัวท็อปด้านการปิดการขาย ต้องรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร
โลกการขายเปลี่ยนไปแล้ว คนที่ยังใช้วิธีเดิม ๆ อย่างการพูดเก่งหรือเร่งปิดดีล อาจเอาตัวรอดได้ในบางสถานการณ์
แต่ก็คงไม่ “ยืนระยะ” ได้แบบนักขายที่เข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง
นักขายที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้
ไม่ใช่คนที่ขายได้เยอะสุดในวันเดียว
แต่คือคนที่ลูกค้าจำได้ว่า
“คนนี้แหละ…เข้าใจเราจริง ๆ”
คำถามที่พบบ่อยเรื่องการขาย
หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าลูกค้าจะตัดสินใจจากโปรโมชั่น หรือฟีเจอร์ที่ดีที่สุด
แต่ในความจริงแล้ว…ก่อนที่ลูกค้าจะจ่ายเงินให้ใครสักคน เขาต้อง “มั่นใจ” ก่อน
บทสนทนาแรก คือช่วงเวลาที่เขาใช้ “เช็กความมั่นใจแบบเงียบ ๆ” ว่าเราเป็นคนที่เขาควรคุยต่อไหม
สิ่งที่ลูกค้ากำลังจับตามอง ไม่ใช่แค่สินค้าคืออะไร แต่คือ:
– เราเข้าใจธุรกิจเขาจริงไหม
– เราเคยเจอเคสคล้าย ๆ กับเขามาแล้วหรือยัง
– เรากำลังตั้งคำถามจากความเข้าใจ หรือแค่ถามตามสคริปต์
จากประสบการณ์ของเรา ลูกค้าจะเริ่มเปิดใจทันทีถ้าเขารู้สึกว่า “คนนี้ฟังจริง เข้าใจจริง และไม่ได้เร่งขาย”
เพราะสุดท้ายแล้ว การตัดสินใจซื้อไม่ได้เกิดจากเหตุผลล้วน ๆ แต่มาจาก “ความมั่นใจ” 3 อย่างที่ต้องเกิดก่อนทุกดีล:
มั่นใจในบริษัท – รู้สึกว่าองค์กรนี้มีตัวตน มีความน่าเชื่อถือ ไม่หายไปหลังขาย
มั่นใจในโซลูชัน – เชื่อว่าสิ่งที่เสนอมา จะช่วยแก้ปัญหาของเขาได้จริง
มั่นใจในตัวคนขาย – เห็นว่าเราคือคนที่เข้าใจในปัญหาที่ลูกค้ามี และมั่นใจว่าจะมีเราคอยช่วยในการแก้ปัญหา
ความมั่นใจ 3 ข้อนี้ไม่ได้เกิดจากการพูดเยอะ หรือโชว์ข้อมูลเยอะ
แต่มาจาก วิธีที่เราคุยกับเขาตั้งแต่คำถามแรก ต่างหาก
จริงที่สุดครับ และนี่คือสาเหตุที่บางครั้งคุณพยายามขายเท่าไรก็ไม่ไปไหน
เพราะลูกค้ากำลัง “สบายในปัญหา” หรือ “ชินกับความวุ่นวาย” แบบที่คิดว่าแก้ไม่ได้
หน้าที่ของนักขายจึงไม่ใช่แค่เสนอของ แต่ต้อง “ตั้งคำถาม” ให้เขาฉุกคิด เช่น
– เคยลองคำนวณไหมว่าวิธีเดิมทำให้คุณเสียเวลากี่ชั่วโมงต่อเดือน?
– ถ้ามีวิธีที่ง่ายกว่านี้ คุณจะอยากลองดูไหม?
ลูกค้าจะเริ่มเปลี่ยนเมื่อเขา “เห็นตัวเองในกระจก” ว่ามีบางอย่างที่ไม่ควรปล่อยไว้
เทคนิค:หากลูกค้ายังไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหา ต้องทำให้ลูกค้ามองเห็นปัญหาก่อนครับ
ถ้าทีมขายยังใช้ Excel กับไลน์ในการตามลูกค้าอยู่ ต้องบอกเลยว่านั่นคือสาเหตุที่เสียโอกาสไปโดยไม่รู้ตัว
ซอฟต์แวร์ช่วยขาย เช่น CRM, Sales Pipeline หรือ Marketing Automation ไม่ได้แค่เก็บข้อมูลลูกค้า แต่ช่วย:
– เตือนเมื่อถึงเวลาติดตาม
– บันทึกบทสนทนาอัตโนมัติ
– ส่งคอนเทนต์ให้ลูกค้าที่ “ยังไม่พร้อมซื้อ” โดยอัตโนมัติ
– วิเคราะห์ได้ว่าใครมีแนวโน้มจะซื้อจริง
พูดง่าย ๆ คือระบบช่วยให้เซลส์ “ใช้เวลากับลูกค้าที่มีโอกาส” แทนที่จะพยายามจำทุกอย่างเอง
คุณอาจจะใช้ระบบช่วยติดตามพฤติกรรม เช่น ใครเปิดอีเมล? ใครคลิกลิงก์? จากนั้นซอฟต์แวร์จะช่วยจัดลำดับว่าใครควรทักต่อ หรือปล่อยระบบเลี้ยงไว้ก่อน
ไม่ใช่ทุกคนที่ทักเข้ามาจะ “พร้อมซื้อ” เท่ากันหมด ดังนั้น หากคุณมี Lead เข้ามามากกว่าทีมขายของคุณที่จะจัดการได้
วิธีที่เราใช้คือระบบ Lead Scoring โดยอิงจาก 4 ปัจจัยหลัก:
-มีงบประมาณพอไหม
-เป็นคนตัดสินใจรึเปล่า
-ปัญหาชัดแค่ไหน
-รีบใช้หรือยัง
จัดลำดับความสำคัญ ทำให้เซลส์โฟกัสคนที่มีโอกาสปิดได้จริง ไม่เสียเวลากับคนที่ยังไม่พร้อม
ให้เขาลองบันทึกตอนพรีเซนต์ไว้ แล้วดูย้อนหลังเอง หรือให้หัวหน้ากับเพื่อนช่วยดู
จะได้เห็นว่าพูดเยอะเกินไปไหม? ฟังลูกค้าพอหรือยัง? แล้วค่อยปรับจุดเล็ก ๆ ให้ดีขึ้น