ROI หรือ Return on Investment คือ “อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน” ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าการที่คุณลงทุนไป 1 บาท ได้ผลตอบแทนกลับมากี่บาท ถ้า ROI สูง แปลว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่า แต่ถ้า ROI ต่ำหรือติดลบ อาจต้องกลับมาทบทวนใหม่ว่าคุ้มจริงหรือเปล่า
ทำไม ROI ถึงสำคัญต่อเจ้าของธุรกิจ
เจ้าของธุรกิจต้องตัดสินใจเรื่องการลงทุนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา จ้างทีมงาน หรือซื้อเครื่องมือใหม่ การเข้าใจ ROI จะช่วยให้คุณไม่ “ลงทุนตามความรู้สึก” แต่ใช้ข้อมูลจริงในการตัดสินใจ ลดโอกาสเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์
ตัวอย่างสถานการณ์การใช้ ROI ในธุรกิจจริง
สมมุติว่าคุณลงงบโฆษณา Facebook Ads ไป 50,000 บาท และได้ยอดขายกลับมา 150,000 บาท หักต้นทุนสินค้า 60,000 บาท เท่ากับกำไร 90,000 บาท
ROI = (กำไร ÷ เงินลงทุน) x 100
ROI = (90,000 ÷ 50,000) x 100 = 180%
แปลว่า ทุก 1 บาทที่คุณลงไป ได้กำไรกลับมา 1.80 บาท
วิธีคำนวณ ROI แบบเข้าใจง่าย
สูตรพื้นฐานในการคำนวณ ROI
ROI = (กำไรจากการลงทุน ÷ เงินลงทุน) x 100
ในบริบทธุรกิจ กำไร = รายได้จากการขาย – ต้นทุน (รวมทั้งสินค้าหรือบริการ, ค่าโฆษณา, ค่าแรง ฯลฯ)
ตัวอย่างการคำนวณ ROI จากการการทำโฆษณา
รายการ | ค่าใช้จ่าย / รายได้ |
---|---|
รายได้จากการโฆษณา | 80,000 บาท |
ค่าทำโฆษณา Google Ads | 30,000 บาท |
ต้นทุนสินค้า | 35,000 บาท |
กำไรจากการลงทุน | 15,000 บาท |
ROI | (15,000 ÷ 65,000) × 100 = 23.08% |
ROI ติดลบ แปลว่าอะไร?
ถ้า ROI < 0 แปลว่าคุณขาดทุน เช่น ลงทุน 50,000 บาท ได้กำไรกลับมาแค่ 20,000 บาท แปลว่าขาดทุน 30,000 → ROI = -60%
ROI ควรอยู่ที่เท่าไหร่?
ไม่มีตัวเลขตายตัว แต่โดยทั่วไป:
- 30–50% ขึ้นไป ถือว่าคุ้ม
- มากกว่า 70% เริ่มเข้าโหมด “กำไรสูง”
อยากรู้ ROI ของธุรกิจคุณ? ลองใช้เครื่องมือนี้คำนวณดู
หากคุณกำลังสงสัยว่าแคมเปญที่ทำอยู่ “คุ้มหรือไม่?”
👇 ลองใส่ตัวเลขธุรกิจของคุณลงใน โปรแกรมคำนวณ ROI ด้านล่างนี้ 👇
ใช้ ROI อย่างไรให้คุ้มในธุรกิจและการตลาด
ข้อจำกัดของ ROI ที่ควรรู้
ROI เป็นตัวชี้วัดที่ดีสำหรับดูว่าการลงทุนให้ผลตอบแทนคุ้มหรือไม่ แต่ไม่ได้ครอบคลุมทุกมิติของธุรกิจ เพราะยังมีต้นทุนแฝงอื่น ๆ เช่น เวลาและทรัพยากรของทีม ค่าเสียโอกาสจากการวางกลยุทธ์ผิด หรือคุณภาพของลูกค้าที่ไม่ได้สะท้อนผ่านตัวเลข ROI โดยตรง ดังนั้นควรใช้ ROI ร่วมกับตัวชี้วัดอื่น เช่น ROAS, CAC หรือ CLV เพื่อดูภาพรวมให้ครบถ้วนและตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น
KPI อื่นที่ควรใช้ควบคู่กับ ROI

เข้าใจ ROI แล้ว…ใช้อย่างไรให้คุ้มจริง
ROI เป็นมากกว่าตัวเลข มันคือ เข็มทิศ สำหรับเจ้าของธุรกิจ ที่จะช่วยวัดว่า “ทางที่เลือกเดินนั้นคุ้มค่าหรือไม่”
เมื่อคุณใช้ ROI ในการตัดสินใจ ทั้งเรื่องการตลาด การลงทุน และการบริหารจัดการ คุณจะประหยัดงบ + เพิ่มกำไรได้จริง
คำถามเกี่ยวกับ ROI ที่เจ้าของธุรกิจมักสงสัย
ROAS (Return on Ad Spend) เป็นตัววัดผลลัพธ์เฉพาะจากงบโฆษณา เช่น ยิงแอดไปเท่าไหร่ ได้ยอดขายเท่าไหร่ ส่วน ROI จะคำนวณจากกำไรสุทธิหลังหักต้นทุนทั้งหมด ไม่ใช่แค่รายได้ ทำให้ ROI เหมาะกับการวัดผลลัพธ์โดยรวมของธุรกิจมากกว่า ส่วน ROAS จะใช้วัดผลภาพรวมจากแคมเปญ
ไม่เสมอไปครับ ROI ต่ำอาจเกิดจากต้นทุนที่สูง หรือได้กำไรไม่สัมพันธ์กับงบที่ใช้ ถ้าเป็นแคมเปญสร้างแบรนด์ หรือมีลูกค้าซื้อซ้ำระยะยาว ROI อาจต่ำในระยะสั้น แต่คุ้มในระยะยาวได้ ต้องดูประกอบกับ CLV (Customer Lifetime Value)
เพราะ ROI บอกแค่ผลตอบแทนจากรายรับที่ได้มาในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่ไม่สะท้อน “มูลค่าของลูกค้าในระยะยาว” เช่น ถ้าคุณลงทุน 100,000 บาทแล้วได้ลูกค้ามา 5 คน มียอดขายรวมแค่ 80,000 บาท
หากดูที่ ROI จะเห็นว่ากำลังขาดทุน
แต่ถ้าลูกค้า 5 คนนั้นกลับมาซื้อซ้ำต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี สุดท้ายคุณอาจได้กำไรหลายแสน ROI จึงควรใช้ควบคู่กับ CLV เพื่อมองภาพรวมของ “กำไรระยะยาว” ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์แคมเปญสั้น ๆ
ไม่มีตัวเลขตายตัวครับ ธุรกิจบางประเภท ROI แค่ 30–50% ก็ถือว่าคุ้มแล้ว ส่วนบางธุรกิจที่มาร์จิ้นสูงอาจตั้งเป้าที่ 100–300% หรือมากกว่านั้น ควรเทียบกับต้นทุนจริง และเป้าหมายธุรกิจเป็นหลัก
ได้ครับ ROI ติดลบ = ขาดทุน เช่น ลงทุน 50,000 บาท แต่กำไรจริงติดลบ -45,000 บาท = ROI -90% วิธีแก้คือต้องวิเคราะห์ให้ชัดว่าต้นทุนเกินจริง หรือกลุ่มเป้าหมายไม่แม่น แล้วปรับแคมเปญให้ใหม่