เริ่มจากเว็บไซต์ที่ใช่ = ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง
ในยุคที่ธุรกิจต้องอยู่ในโลกออนไลน์แบบเต็มตัว เว็บไซต์กลายเป็น “ทรัพย์สินดิจิทัล” ที่สำคัญที่สุดชิ้นหนึ่ง
แต่คำถามก็คือ…
“เราควรใช้เว็บไซต์แบบไหนดีให้เหมาะกับธุรกิจเรา?”
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก ประเภทของเว็บไซต์ยอดนิยม ที่ใช้กันจริงในภาคธุรกิจ พร้อมเทคนิคการเลือกให้ตรงเป้า — ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้องใช้งานได้จริง สร้างยอดขาย เก็บรายชื่อว่าที่ลูกค้า (Lead) และต่อยอดการตลาดได้ระยะยาว
ประเภทของเว็บไซต์ยอดนิยม
การเลือกเว็บไซต์ให้เหมาะกับธุรกิจ ไม่ได้อยู่ที่ดีไซน์สวยหรือไม่ แต่ต้องเริ่มจากคำถามสำคัญว่า…
“เว็บนี้ทำหน้าที่อะไรในระบบธุรกิจของเรา?”
เว็บไซต์ที่ดีไม่ใช่แค่ดูดี แต่ต้องตอบโจทย์เป้าหมายของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า สร้างความน่าเชื่อถือ หรือให้ข้อมูลกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
มาดูกันว่าแต่ละประเภทเว็บไซต์มีจุดเด่นอย่างไร และเหมาะกับการใช้งานแบบไหน:
💼 Corporate Website – เว็บไซต์องค์กร

เหมาะกับ:
บริษัทที่ให้บริการแบบ B2B, บริษัทที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์มืออาชีพ, สตาร์ทอัพที่ต้องการให้ลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์ โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องมีการติดต่อ เจรจา หรือเสนอราคาแบบองค์กร
จุดเด่น:
เน้นการให้ข้อมูลอย่างเป็นระบบ มีความน่าเชื่อถือ ดูจริงจัง
ผู้เข้าชมจะสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า “คุณคือใคร ให้บริการอะไร ทำงานกับใครมาแล้วบ้าง”
ใช้สร้างความไว้ใจในขั้นตอนก่อนการตัดสินใจซื้อ หรือก่อนการขอใบเสนอราคา
ควรมี:
- หน้า “เกี่ยวกับเรา” ที่เล่าเรื่องแบรนด์ วิสัยทัศน์ และเบื้องหลังธุรกิจ ให้ผู้อ่านรู้จักตัวตน
- หน้า “บริการของเรา” ที่อธิบายบริการแต่ละอย่างอย่างชัดเจน ไม่คลุมเครือ พร้อมระบุผลลัพธ์ที่ลูกค้าจะได้รับ
- หน้า “ติดต่อเรา” ที่ใช้งานง่าย มีฟอร์มกรอกข้อมูล และช่องทางการติดต่อชัดเจน เช่น Email, โทร, Line OA
- รีวิวจากลูกค้า หรือ Case Study ที่แสดงให้เห็นว่าคุณเคยทำให้ใครมาแล้ว และผลลัพธ์เป็นอย่างไร
- ฟอร์ม “ขอใบเสนอราคา” หรือ “นักปรึกษา” เพื่อเริ่มกระบวนการขายทันทีจากในเว็บไซต์
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่ต้องการวางระบบ Lead Generation อย่างจริงจัง โดยใช้เว็บไซต์เป็นจุดเริ่มต้นในการดึงดูดและเก็บข้อมูลลูกค้าที่มีแนวโน้มซื้อ ไม่ว่าจะเป็นการขอใบเสนอราคา หรือนัดหมายปรึกษา แล้วส่งต่อให้ทีมเซลล์ติดตามต่อแบบมีระบบ เพิ่มโอกาสปิดการขาย และวัดผลได้ทุกขั้นตอนของ Customer Journey
🛒 E-Commerce Website – เว็บไซต์ขายของ

เหมาะกับ:
ร้านค้าออนไลน์ทุกรูปแบบ ตั้งแต่สินค้าแฟชั่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงสินค้าสุขภาพหรือของแต่งบ้าน เหมาะกับการซื้อ-ขายแบบไม่ต้องคุยกับเซลล์
จุดเด่น:
ลูกค้าสามารถดูสินค้า เลือกขนาด ใส่ตะกร้า ชำระเงิน และติดตามสถานะได้ด้วยตัวเอง
เว็บไซต์ต้องออกแบบให้ใช้งานง่าย รวดเร็ว และน่าเชื่อถือ เพราะลูกค้าไม่มีโอกาสเจอหน้าคุณโดยตรง
ควรมี:
- ฟีเจอร์ “แนะนำสินค้ายอดนิยม”, สินค้าใหม่, หรือสินค้าลดราคา เพื่อดึงดูดความสนใจ
- หน้าสินค้า (Product Page) พร้อมภาพคมชัด, รายละเอียดครบถ้วน, และราคาชัดเจน
- ระบบรีวิว จากผู้ใช้จริง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและกระตุ้นการตัดสินใจ
- ระบบ ตะกร้าสินค้าและชำระเงินออนไลน์ ที่รองรับหลายช่องทาง (บัตรเครดิต, โอนเงิน, COD ฯลฯ)
- ระบบ ติดตามสถานะคำสั่งซื้อ ที่ลูกค้าสามารถเช็คเองได้
- เชื่อมต่อกับเครื่องมือโฆษณา (เช่น Pixel, GA4) เพื่อวัดผลการขายได้แม่นยำ
เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการระบบปิดการขายแบบอัตโนมัติ ตั้งแต่ลูกค้าเลือกสินค้า กดสั่งซื้อ ชำระเงิน ไปจนถึงได้รับสินค้า โดยไม่ต้องมีฝ่ายขายคอยตอบแชทหรือโทรปิดการขาย ทำเงินได้ 24 ชั่วโมง แม้ตอนที่คุณหลับ
✍️ Blog Website – เว็บไซต์บทความ/ความรู้

เหมาะกับ:
ธุรกิจที่ต้องการสร้างฐาน Organic Traffic, นักการตลาด, เจ้าของธุรกิจที่อยาก Educate กลุ่มเป้าหมาย หรือสร้างความเชื่อมั่นก่อนขาย เช่น คลินิก, เอเจนซี่, ผู้เชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง
จุดเด่น:
บทความที่มีคุณภาพสามารถดึงผู้เข้าชมจาก Google ได้ฟรี และช่วยทำให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือในสายตาผู้บริโภค
ควรมี:
- บทความ แบ่งตามหมวดหมู่ เช่น การตลาด, การออกแบบ, สุขภาพ ฯลฯ เพื่อให้ค้นหาง่าย
- ระบบค้นหา (Search) เพื่อให้ผู้ใช้หาเนื้อหาที่สนใจได้รวดเร็ว
- Internal Link ภายในบทความ เช่น ลิงก์ไปบริการที่เกี่ยวข้อง, บทความต่อเนื่อง ฯลฯ
- ปุ่ม แชร์บทความไปยังโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, LINE, Twitter
- Call-to-Action ในบทความ เช่น “รับคำปรึกษาฟรี”, “ดาวน์โหลด E-book” หรือ “สอบถามเพิ่มเติม”
👉 อ่านต่อ: เขียน Copy บน Landing Page ให้คนอยากกรอกฟอร์ม
Blog ไม่ได้มีไว้แค่เพิ่ม Traffic หรือ Educate ลูกค้าเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างรายได้แบบ Passive Income ผ่านการเปิดโฆษณา Google AdSense ได้อีกด้วย — ยิ่งคนเข้าเยอะ รายได้ก็ยิ่งเพิ่ม
📁 Portfolio Website – เว็บไซต์โชว์ผลงาน

เหมาะกับ:
Freelancer, เอเจนซี่, ดีไซเนอร์, ช่างภาพ หรือธุรกิจที่ใช้ “ผลงาน” เป็นสิ่งสร้างความเชื่อมั่น
จุดเด่น:
คนส่วนใหญ่จะตัดสินใจจาก “สิ่งที่คุณเคยทำมาแล้ว” การมี Portfolio ดี ๆ จะช่วยให้คุณโดดเด่นเหนือคู่แข่งในสายตาลูกค้า
ควรมี:
- หน้า Gallery หรือ Project Showcase ที่จัดเรียงผลงานเป็นหมวดหมู่ พร้อมรายละเอียดคร่าว ๆ
- รูปภาพ/วิดีโอคุณภาพสูง ที่โชว์ผลงานได้เต็มศักยภาพ
- ปุ่ม “ติดต่อเรา” หรือฟอร์ม Brief งาน ที่ง่ายต่อการส่งรายละเอียด
- คำชมจากลูกค้าเดิม (Testimonial) เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับคนที่สนใจ
- ถ้าเป็นเอเจนซี่ควรใส่ผลลัพธ์ เช่น “ช่วยลูกค้าเพิ่มยอดขาย 3 เท่าใน 2 เดือน”
- ถ้ามีรางวัลหรือความร่วมมือกับแบรนด์ใหญ่ ควรโชว์ไว้ชัดเจน
เว็บไซต์ประเภทนี้ไม่ใช่แค่โชว์ผลงาน แต่คือพื้นที่ “ขายตัวเอง” แบบเงียบ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของลูกค้ามากที่สุดในโลกออนไลน์
เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย เพื่อออกแบบเว็บไซต์ให้ใช่

รู้ไหมครับว่า… เว็บที่สวยอาจไม่ได้แปลว่าเวิร์ค
ถ้าไม่เข้าใจ “กลุ่มเป้าหมาย” ก็อาจออกแบบ UX พลาดได้ง่าย ๆ
ลองถามตัวเองดูว่า:
- กลุ่มลูกค้าใช้มือถือหรือคอมมากกว่า?
- พวกเขาคุ้นเคยกับการซื้อของออนไลน์ไหม?
- เขาต้องการข้อมูลละเอียด หรือแค่ภาพรวม + ราคา?
เมื่อรู้ว่าใครคือผู้ใช้หลัก เราจะสามารถออกแบบ UX (ประสบการณ์ผู้ใช้) ได้แบบไม่หลงทาง
ถ้าเว็บของคุณเน้นดึงคนใหม่จากโฆษณา เช่น Google Ads หรือ Facebook Ads
ควรใช้หน้า Landing Page ที่โหลดไว และมี CTA ชัดเจน เพื่อเปลี่ยนผู้ชมให้เป็น Lead หรือยอดขาย
วางเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ให้เว็บทำงานแทนคุณ
เว็บไซต์ที่ดี ไม่ควรมีไว้แค่โชว์ แต่ควร “ทำงานแทนคุณ” ตลอด 24 ชั่วโมง

เป้าหมายที่ควรตั้งให้ชัด เช่น:
- เก็บ Lead เข้าระบบ → ส่งต่อให้ทีมเซลล์
- ขายของได้เลย → แบบไม่ต้องโทรคุย
- ให้ข้อมูลที่คนอยากแชร์ → เพื่อเพิ่ม Reach ฟรี
- ดึงคนจาก Google เข้ามา → อ่านบทความ → กลายเป็นลูกค้า
เมื่อรู้เป้าหมายชัด โครงสร้างเว็บ ฟีเจอร์ และเนื้อหาจะตรงจุด ไม่หลงทาง
👉 ดูตัวอย่าง Funnel ที่วางเป้าหมายไว้ตั้งแต่แรก
งบประมาณมีผลต่อการเลือก Platform สำหรับการพัฒนาเว็บไซต์

การสร้างเว็บไซต์ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากของแพงเสมอไป สิ่งที่สำคัญกว่าคือการวางแผนให้เหมาะกับทรัพยากรที่คุณมี และรู้ว่า “ตอนนี้ควรเริ่มจากอะไร” แล้วค่อย ๆ ขยับขยายภายหลัง
ไม่ว่าคุณจะเริ่มจากงบน้อยหรือมาก หากวางโครงสร้างถูกตั้งแต่ต้น เว็บไซต์ของคุณจะกลายเป็นเครื่องมือทำงานได้อย่างคุ้มค่าแน่นอน
งบประมาณ | ทางเลือกที่แนะนำ |
---|---|
งบจำกัด | ใช้ Web Builder อย่าง Wix หรือ WordPress + ธีมสำเร็จรูป เหมาะสำหรับคนเริ่มต้น ไม่มีทีมเทคนิค ทำเองได้ง่าย ราคายืดหยุ่น อาจยังไม่มีระบบเก็บ Lead อัตโนมัติ แต่สามารถเสริมทีหลังได้ |
งบปานกลาง | ใช้ WordPress แบบออกแบบเฉพาะตัว (Custom Design) พร้อมฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น ฟอร์มเก็บ Lead, หน้า Landing Page, Blog สำหรับ SEO เหมาะกับธุรกิจที่เริ่มมีฐานลูกค้า ต้องการเว็บที่ดูเป็นมืออาชีพและรองรับการเติบโต |
งบสูง | สร้างเว็บแบบ Custom เต็มระบบ พร้อมเชื่อมต่อ CRM, Email Automation, ระบบจัดการหลังบ้านเฉพาะกิจ เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการใช้เว็บไซต์เป็นศูนย์กลางการตลาดและการขายแบบเต็มรูปแบบ รองรับความซับซ้อนและการขยายในอนาคต |
สรุป:
คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเว็บใหญ่หรือซับซ้อน แค่รู้ว่า “ตอนนี้ควรเริ่มจากตรงไหน”
วางรากฐานดี แล้วขยายฟีเจอร์ต่อไปในอนาคต แบบนั้นยั่งยืนกว่าและคุ้มค่ากว่ามาก
มือถือมาก่อนเสมอ (Mobile First!)
เกิน 70% ของผู้ใช้งาน เข้าเว็บผ่านมือถือ ถ้าเว็บคุณโหลดช้า ปุ่มกดยาก หรือดีไซน์ไม่พอดีหน้าจอ คุณเสียลูกค้าไปแน่นอน
Checklist ที่ควรทำ:
- ใช้ธีม Responsive จริง ไม่ใช่แค่ “ดูได้” แต่ “ใช้สะดวก”
- ปุ่ม CTA ใหญ่พอให้กดง่าย
- Page Speed บนมือถือไม่เกิน 3 วินาที
- ทดสอบบนอุปกรณ์จริงบ้าง ไม่ใช่แค่บน Desktop
เว็บไซต์ที่ดี ต้อง “ใช้งานได้” ไม่ใช่แค่ “ดูดี”
การเลือกประเภทเว็บไซต์ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ ไม่ใช่แค่เรื่องดีไซน์หรือเทมเพลต
แต่มันคือการวางโครงสร้างธุรกิจให้ทำงานอัตโนมัติผ่านออนไลน์
- ถ้าคุณขายของ → ใช้เว็บ E-Commerce ชำระเงินได้บนเว็บไซต์
- ถ้าคุณให้บริการ → ใช้เว็บที่เก็บ Lead เพื่อเอาไปทำการตลาดต่อได้
- ถ้าคุณ Educate → ใช้ Blog ดึง Traffic แล้วต่อ Funnel
เว็บไซต์ไม่ใช่แค่หน้าแนะนำตัว แต่ควรเป็น ระบบสร้างยอดขาย & ลูกค้าใหม่ ที่ทำงานแทนคุณทุกวัน
👉 อยากให้เว็บคุณปิดการขายได้มากขึ้น? ลองดู:
เทคนิคเพิ่ม Conversion Rate สำหรับหน้าเว็บไซต์
👉 อยากเขียนหน้า Landing Page ให้คนอ่านแล้ว “กรอกฟอร์มทันที”?
คลิกอ่านเทคนิค Copywriting ที่ช่วยให้ Ads ของคุณขายได้จริง
คำถามที่ถูกถามบ่อยสำหรับเรื่องของประเภทของเว็บไซต์
แบบนี้ง่ายเลยครับ จากที่ MSK Media เจอมา ส่วนใหญ่เราแนะนำให้เริ่มจากเว็บหน้าเดียวแบบ Landing Page ครับ
เพราะใช้งบน้อย ทำไว และเริ่มเก็บรายชื่อลูกค้าที่สนใจได้ทันที
ลูกค้าหลายรายได้ Leads ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เว็บขึ้นเลยครับ
จำเป็นต้องออกแบบในมือถือเป็นหลักเลยครับ
จากที่เราเช็กข้อมูลของลูกค้าหลายรายที่ยิงแอดผ่าน Google และ Facebook
มากกว่า 80% ของผู้เข้าชมเว็บ มาจากมือถือทั้งหมด
ถ้าเว็บโหลดช้า ปุ่มกดยาก หรืออ่านลำบากบนจอเล็ก โอกาสได้ลูกค้าจะหายไปทันที
Mobile First และ Mobile Responsive เลยกลายเป็นสิ่งที่ “ต้องมี” ไม่ใช่แค่ “ควรมี” แล้วครับ
ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ คือ ค่าจดโดเมนรายปี, ค่า Hosting รายเดือน และค่าดูแลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น แก้ไขเนื้อหา หรืออัปเดตระบบ แต่ถ้าคุณดูแลเว็บเองเป็น จะช่วยประหยัดไปได้มากเลยครับ
ได้ครับ หลายแบรนด์ที่เราทำให้ตอนเริ่มต้นก็ยังไม่มีรีวิว
แต่เราใช้วิธีใส่รูปทีมงาน บอกขั้นตอนการให้บริการ และโชว์ตัวอย่างงานจริง
แค่นี้ลูกค้าก็มั่นใจมากขึ้น และยอมกรอกฟอร์มติดต่อเข้ามาเลย
แนะนำให้ใช้ WordPress ครับ เพราะใช้งานง่าย ไม่ต้องเขียนโค้ดเอง
หา Freelance หรือ Developer มาช่วยดูแลก็ไม่ยาก เพราะใคร ๆ ก็ทำ WordPress กันเป็น
ลูกค้าเราเกินครึ่งใช้ WordPress และสามารถขยายเว็บต่อในอนาคตได้แบบยืดหยุ่นสุด ๆ