หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยที่สุดสำหรับเจ้าของร้านค้าออนไลน์และนักการตลาดคือ “ต้องเตรียมเงินเท่าไหร่สำหรับ ยิงแอด IG?” นี่คือคำถามสำคัญเพราะ Instagram (IG) เป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังอย่างยิ่งในการเข้าถึงลูกค้า แต่หลายคนก็กลัวว่าจะต้องใช้งบประมาณมหาศาล
ความจริงก็คือ การยิงแอด IG ไม่ได้มี “ราคาป้าย” ที่ตายตัว มันทำงานเหมือนตลาดประมูลขนาดใหญ่ที่ราคาผันผวนอยู่ตลอดเวลา ข่าวดีคือคุณสามารถควบคุมงบประมาณได้ 100% ตั้งแต่หลักร้อยบาทต่อวันไปจนถึงหลักแสนบาท บทความนี้จะเจาะลึกให้คุณเข้าใจว่าอะไรคือตัวกำหนดราคา และคุณควรวางแผนงบประมาณอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด
เราไม่ได้บริหารงบ แต่เราสร้างผลตอบแทน
ที่ MSKMedia เราบริหารแคมเปญโฆษณาบนเครือข่าย Meta (Facebook และ Instagram) ทุกวัน เราเข้าใจดีว่ากุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การใช้งบให้เยอะที่สุด แต่อยู่ที่การใช้งบให้ “ฉลาดที่สุด” จากประสบการณ์ของเรา การทำความเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนโฆษณาคือด่านแรกที่จะช่วยให้คุณประหยัดงบและได้ผลตอบแทน (ROI) ที่สูงขึ้น เราจึงกลั่นกรองข้อมูลล่าสุดปี 2025 มาให้คุณในคู่มือนี้
ยิงแอด IG ราคาทำงานอย่างไร?
ราคาโฆษณา IG ทำงานผ่านระบบประมูล (Ad Auction) ทุกครั้งที่มีพื้นที่โฆษณาว่างบนฟีดหรือสตอรี่ของผู้ใช้ ระบบจะทำการประมูลในเสี้ยววินาทีเพื่อตัดสินว่าโฆษณาของใครจะได้แสดง โดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก:
- ราคาประมูล (Bid): จำนวนเงินสูงสุดที่คุณยินดีจ่าย
- อัตราการกระทำที่คาดหวัง (Estimated Action Rates): ระบบคาดว่าโฆษณาของคุณจะสร้างผลลัพธ์ได้ดีแค่ไหน
- คุณภาพและความเกี่ยวข้องของโฆษณา (Ad Quality & Relevance): โฆษณาของคุณมีคุณภาพและตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายหรือไม่
ข่าวดี: โฆษณาที่คุณภาพดีและเกี่ยวข้องสูง จะสามารถชนะการประมูลได้แม้จะตั้งราคาประมูลไว้ต่ำกว่าคู่แข่งก็ตาม
ราคาโฆษณา IG โดยเฉลี่ย (อัปเดต 2025)
เพื่อให้คุณเห็นภาพรวม ต้นทุนโฆษณาโดยเฉลี่ยในตลาดประเทศไทยและทั่วโลกมีดังนี้:
- Cost Per Click (CPC) – ต้นทุนต่อคลิก: โดยทั่วไปในไทยจะอยู่ที่ประมาณ 8 – 35 บาท ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของการแข่งขัน
- Cost Per 1,000 Impressions (CPM) – ต้นทุนต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง: เป็นค่าที่ค่อนข้างคงที่ โดยเฉลี่ยทั่วโลกและในไทยจะอยู่ที่ประมาณ 90 – 150 บาท
5 ปัจจัยหลักที่ทำให้ “ยิงแอด IG ราคา” ถูกหรือแพง
ราคาที่คุณจ่ายจริงจะผันผวนอย่างมาก ขึ้นอยู่กับ 5 ปัจจัยสำคัญเหล่านี้
| ปัจจัย (Factor) | ส่งผลต่อราคาอย่างไร (How it impacts cost) | คำอธิบาย / ตัวอย่าง |
| 1. กลุ่มเป้าหมาย (Audience) | แพงขึ้น: หากกลุ่มเป้าหมายมีการแข่งขันสูง | การยิงแอดหา “ผู้บริหารในกรุงเทพฯ” จะแพงกว่าการยิงแอดหา “นักเรียนนักศึกษา” ทั่วประเทศ เพราะมีหลายแบรนด์ต้องการแย่งชิงคนกลุ่มเดียวกัน |
| 2. ตำแหน่งโฆษณา (Placement) | ผันผวน: แต่ละตำแหน่งมีราคาไม่เท่ากัน | โดยทั่วไป Instagram Feed มักจะมีราคาสูงกว่า แต่ก็อาจสร้าง Conversion ได้ดีกว่า Stories และ Reels ที่อาจมี CPM ถูกกว่าและเข้าถึงคนได้ง่ายกว่า |
| 3. ฤดูกาล (Seasonality) | แพงขึ้น: ในช่วงที่มีการแข่งขันสูง | ราคาโฆษณาจะพุ่งสูงขึ้นมากในช่วงเทศกาลใหญ่ๆ เช่น แคมเปญ 11.11, 12.12, หรือช่วงสิ้นปี (Q4) เพราะทุกแบรนด์ต่างอัดงบโฆษณาพร้อมกัน |
| 4. วัตถุประสงค์ (Objective) | แพงขึ้น: วัตถุประสงค์ที่เน้นผลลัพธ์ที่มีมูลค่าสูง | แคมเปญที่เน้น Conversions (ยอดขาย) จะมีต้นทุนต่อผลลัพธ์แพงกว่าแคมเปญที่เน้น Awareness (การรับรู้) หรือ Engagement (การมีส่วนร่วม) |
| 5. คุณภาพโฆษณา (Ad Quality) | ถูกลง: หากโฆษณามีคุณภาพสูง | โฆษณาที่เกี่ยวข้อง (Relevance Score สูง) มีรูปภาพ/วิดีโอที่น่าสนใจ และมีคนคลิกหรือมีส่วนร่วมเยอะ จะถูก “ให้รางวัล” จากระบบด้วยราคาที่ถูกลง |
มือใหม่ควรเริ่มยิงแอด IG ด้วยงบวันละเท่าไหร่?
สำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการทดสอบตลาดและเก็บข้อมูล เรามีคำแนะนำดังนี้:
- งบประมาณเริ่มต้น: วันละ 100 – 300 บาท (ประมาณ 3,000 – 9,000 บาทต่อเดือน)
- ระยะเวลาทดสอบ: ควรปล่อยให้แคมเปญทำงานอย่างน้อย 7 วัน เพื่อให้ระบบ AI ได้เรียนรู้ (Learning Phase) และเก็บข้อมูลได้มากพอ ก่อนที่จะตัดสินใจว่าแคมเปญนั้น “เวิร์ค” หรือ “ไม่เวิร์ค”
การเริ่มต้นด้วยงบประมาณระดับนี้จะช่วยให้คุณเห็นแนวโน้ม, เข้าใจว่า CPC/CPM ในตลาดของคุณอยู่ที่เท่าไหร่, และทดสอบว่า Ad Creative แบบไหนที่กลุ่มเป้าหมายของคุณตอบสนองได้ดีที่สุด
3 เคล็ดลับในการยิงแอด IG ให้คุ้มค่า (ประหยัดงบ)
- ลงทุนกับ Ad Creative: IG เป็นแพลตฟอร์มที่เน้นภาพสวย (Visual-first) การใช้รูปภาพหรือวิดีโอที่คมชัด, สวยงาม, และดึงดูดสายตาให้หยุดนิ้วได้ คือวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่ม Ad Quality Score และลดค่าโฆษณา
- เจาะจงกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน: แทนที่จะยิงแอดหากลุ่มเป้าหมายกว้างๆ (Broad) ลองจำกัดกลุ่มเป้าหมายให้แคบลง (Niche) แม้จะเข้าถึงคนได้น้อยลง แต่คนกลุ่มนั้นจะมีแนวโน้มสนใจสินค้าของคุณจริง ทำให้ค่าโฆษณาต่อผลลัพธ์ (Cost per Result) ถูกลง
- ใช้ Remarketing: ยิงโฆษณาซ้ำไปยังกลุ่มคนที่เคยมีส่วนร่วมกับคุณแล้ว (เช่น คนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์, คนที่เคยทักแชท) คนกลุ่มนี้รู้จักแบรนด์ของคุณอยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสปิดการขายได้ง่ายขึ้นและใช้ต้นทุนที่ถูกกว่าการหาลูกค้าใหม่
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
โดยทั่วไปราคาจะใกล้เคียงกันเพราะใช้ระบบประมูลเดียวกัน (Meta Ads Manager) แต่ในบางอุตสาหกรรม การแข่งขันบน Instagram อาจสูงกว่า ทำให้ CPC แพงกว่าเล็กน้อย แต่ในทางกลับกันก็อาจสร้าง Engagement ได้ดีกว่า
ได้ ใน Ads Manager คุณสามารถเลือกใช้กลยุทธ์การเสนอราคาแบบ Manual (เช่น Bid Cap) เพื่อควบคุมเพดานค่าใช้จ่ายได้ แต่สำหรับมือใหม่ แนะนำให้ใช้แบบอัตโนมัติ (Advantage+ Bidding) เพื่อให้ระบบช่วยหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในงบประมาณของคุณก่อน
อาจเกิดจากภาวะ “Ad Fatigue” หรือโฆษณาซ้ำซาก คือกลุ่มเป้าหมายเดิมเห็นโฆษณาของคุณบ่อยเกินไปจนเริ่มไม่สนใจ วิธีแก้คือการเปลี่ยนรูปภาพหรือข้อความโฆษณาใหม่ (Refresh Creative)
หากต้องการความสะดวกรวดเร็วและเน้นเพิ่ม Engagement ก็สามารถทำได้ แต่การยิงแอดผ่าน “Ads Manager” จะให้คุณเข้าถึงฟังก์ชันการกำหนดเป้าหมายและการวัดผลที่ละเอียดและมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก ซึ่งเป็นวิธีที่มืออาชีพเลือกใช้
ไม่ใช่ครับ “งบประมาณโฆษณา” คือเงินที่คุณจ่ายตรงให้กับ Meta (Facebook/Instagram) ส่วน “ค่าบริการเอเจนซี่” คือค่าจ้างสำหรับผู้เชี่ยวชาญ (เช่น MSKMedia) ที่เข้ามาวางแผนกลยุทธ์, สร้างแคมเปญ, และเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาให้คุณ
References
เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับราคาโฆษณา Instagram นี่คือแหล่งข้อมูลชั้นนำที่คุณสามารถอ่านต่อได้:
- Meta Business Help Centre – Budgets: คำอธิบายอย่างเป็นทางการจาก Meta เกี่ยวกับวิธีการทำงานของงบประมาณโฆษณา https://www.facebook.com/business/help/383134492160161
- HubSpot Blog – How Much Do Instagram Ads Cost? บทวิเคราะห์ข้อมูลต้นทุนโฆษณา Instagram พร้อมปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบ (ภาษาอังกฤษ) https://blog.hubspot.com/marketing/instagram-ads-cost
- Influencer Marketing Hub – Instagram Advertising Costs: แหล่งข้อมูลที่รวบรวมสถิติและค่าเฉลี่ยของต้นทุนโฆษณาบน Instagram (ภาษาอังกฤษ) https://influencermarketinghub.com/instagram-advertising-costs/