Customer Journey สำคัญแค่ไหน แบรนด์ที่เข้าใจมักชนะเสมอ

สารบัญ
เข้าใจ Customer Journey คืออะไร

คุณเคยรู้สึกไหมว่า…เราทุ่มงบการตลาดลงไปก็มาก แต่ผลลัพธ์กลับไม่ตรงเป้า? หรือบางครั้ง ลูกค้ากดดูสินค้าแต่ไม่ซื้อ ทั้งที่เราคิดว่าเราทำทุกอย่างดีแล้ว คำตอบอาจอยู่ที่จุดที่คุณยังมองข้ามไป นั่นคือ Customer Journey

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจว่า Customer Journey คืออะไร, ทำไมถึงสำคัญกับแบรนด์ และเราจะใช้มันสร้างกลยุทธ์ที่ลูกค้ารัก พร้อมตัวอย่างและขั้นตอนนำไปใช้จริงแบบเข้าใจง่าย ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานการตลาดมาก่อนก็เข้าใจได้


Customer Journey คืออะไร และทำไมใคร ๆ ก็พูดถึง

ความหมายของ Customer Journey

Customer Journey คือ “เส้นทางของลูกค้า” ตั้งแต่เริ่มรู้จักแบรนด์ ไปจนถึงตัดสินใจซื้อ และท้ายที่สุดกลายเป็นลูกค้าที่ภักดี เส้นทางนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในเส้นตรง แต่เต็มไปด้วยจุดสัมผัส (Touchpoints) เช่น โฆษณา รีวิว เว็บไซต์ ช่องทางขาย ฯลฯ

จุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า

แบรนด์ที่เข้าใจเส้นทางของลูกค้าจะสามารถ “เข้าถึง – โน้มน้าว – และปิดการขาย” ได้ดีกว่า เพราะสามารถออกแบบประสบการณ์ให้สอดคล้องกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการในแต่ละช่วงเวลา


แต่ละ Step ของ Customer Journey คืออะไร?

โดยทั่วไปแล้ว Customer Journey จะถูกแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

การรับรู้ (Awareness)

คืออะไร: นี่คือด่านแรกสุดที่ทำให้คนทั่วไปที่ยังไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน ได้ “รับรู้” ถึงการมีอยู่ของแบรนด์, สินค้า, หรือบริการของคุณเป็นครั้งแรก อาจเกิดจากการที่พวกเขากำลังมีปัญหาหรือความต้องการบางอย่าง แล้วมาเจอแบรนด์ของคุณโดยบังเอิญ หรือจากการที่คุณนำเสนอตัวเองผ่านช่องทางต่างๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้:

  • เห็นโฆษณา (Ads) บน Facebook, YouTube, Google
  • เห็นโพสต์จากเพื่อนหรือ Influencer บนโซเชียลมีเดีย
  • อ่านบทความในบล็อกหรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
  • ฟังจากคำแนะนำของเพื่อนหรือคนรู้จัก (Word-of-Mouth)
  • เห็นป้ายโฆษณาตามสถานที่ต่างๆ

เป้าหมาย: สร้างการรับรู้ในวงกว้าง ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและจดจำให้ได้มากที่สุด

การพิจารณา (Consideration)

คืออะไร: หลังจากที่ลูกค้ารับรู้ถึงการมีอยู่ของคุณแล้ว พวกเขาจะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการ “พิจารณา” โดยจะเริ่มศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ เพื่อดูว่าจะสามารถแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้จริงหรือไม่ และจะเริ่มเปรียบเทียบคุณกับแบรนด์คู่แข่งอื่นๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้:

  • เข้าชมเว็บไซต์ของแบรนด์เพื่อดูรายละเอียดสินค้า
  • ค้นหารีวิว (Review) หรือดูวิดีโอรีวิวจากผู้ใช้งานจริง
  • เปรียบเทียบราคาและคุณสมบัติกับแบรนด์อื่น
  • ติดตามเพจโซเชียลมีเดียของแบรนด์
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน Inbox หรือ Line

เป้าหมาย: ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และแสดงให้เห็นจุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อทำให้ลูกค้าเห็นว่าเราคือตัวเลือกที่ดีที่สุด

การตัดสินใจซื้อ (Purchase / Conversion)

คืออะไร: เมื่อผ่านขั้นตอนการพิจารณาและเปรียบเทียบมาอย่างดีแล้ว ลูกค้าจะทำการ “ตัดสินใจซื้อ” สินค้าหรือบริการของคุณ ขั้นตอนนี้ถือเป็นจุดที่สำคัญที่สุดในการสร้างรายได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้:

  • กดสั่งซื้อสินค้าผ่านหน้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
  • เดินทางไปซื้อสินค้าที่หน้าร้าน
  • ทำการชำระเงิน
  • สมัครสมาชิกหรือลงทะเบียนใช้บริการ

เป้าหมาย: ทำให้ขั้นตอนการซื้อนั้นง่าย, สะดวก, รวดเร็ว และราบรื่นที่สุด เพื่อลดโอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย

การรักษาลูกค้า (Retention)

คืออะไร: การเดินทางยังไม่จบแค่การซื้อ! ขั้นตอนนี้คือการดูแลและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า “หลังการขาย” เพื่อให้พวกเขารู้สึกประทับใจและกลับมาใช้บริการหรือซื้อสินค้าของคุณ “ซ้ำ” อีกในอนาคต สิ่งที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้:

  • ได้รับอีเมลขอบคุณหลังการซื้อ
  • การบริการหลังการขายที่ดี เช่น การให้คำแนะนำ, การรับประกันสินค้า
  • ได้รับโปรโมชั่นพิเศษหรือของขวัญสำหรับลูกค้าเก่า
  • การมีระบบสมาชิก (Loyalty Program) เพื่อสะสมแต้ม

เป้าหมายของธุรกิจ: สร้างความพึงพอใจสูงสุดและเปลี่ยนลูกค้าขาจรให้กลายเป็นลูกค้าประจำ (Loyalty)

การบอกต่อ (Advocacy)

คืออะไร: นี่คือขั้นสูงสุดของ Customer Journey เมื่อลูกค้าประทับใจในสินค้าและบริการของคุณอย่างมาก พวกเขาจะกลายเป็น “ผู้สนับสนุนแบรนด์” หรือ “กระบอกเสียง” ที่ช่วยแนะนำและ “บอกต่อ” สิ่งดีๆ เกี่ยวกับแบรนด์ของคุณให้คนอื่นฟังโดยที่คุณไม่ต้องร้องขอ สิ่งที่เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้:

  • โพสต์รีวิวสินค้าในเชิงบวกบนโซเชียลมีเดียของตนเอง
  • แนะนำเพื่อนหรือคนในครอบครัวให้มาใช้บริการ
  • ปกป้องแบรนด์เมื่อมีคนพูดถึงในแง่ลบ
  • เข้าร่วมกิจกรรมของแบรนด์อย่างสม่ำเสมอ

เป้าหมาย: สร้างกระบอกเสียง ที่จะช่วยทำการตลาดให้คุณแบบฟรีๆแถมยังสร้างความน่าเชื่อถือ ให้แบรนด์ของคุณได้อย่างมหาศาล


5 ขั้นตอนวิเคราะห์ Customer Journey

1. รู้จัก Persona ของลูกค้าให้ชัดก่อน

ก่อนจะเริ่มทำ Customer Journey สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือความเข้าใจว่าลูกค้าของคุณ “เป็นใคร” เพราะเราไม่ได้ขายสินค้าให้ทุกคน แต่ขายให้คนเฉพาะกลุ่มที่ตรงกับเป้าหมายจริง ๆ

อย่างที่ MSK Media เรารับทำ Facebook Ads และรับทำ Google Ads มาหลายธุรกิจ เรารู้ว่า Persona ของลูกค้าเราคือใครแบบชัดเจน ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของแบรนด์อายุประมาณ 30–45 ปี ทำธุรกิจมาแล้วระดับหนึ่ง เคยลองทำโฆษณามาก่อน บางคนจ้างฟรีแลนซ์ บางคนทำเอง หรือฝากคนในทีมช่วยดูให้ แต่ผลลัพธ์ยังไม่ไปถึงไหน พร้อมกับเสียงบประมาณไปมากพอสมควร

เราจึงใช้ Pain Point เหล่านี้มาสร้าง Creative สำหรับยิงแอดโดยตรง เช่น โฆษณาที่เปิดด้วยคำถามว่า
“จ่ายเงินทำโฆษณาไปตั้งเยอะ แต่ยอดขายก็ไม่เพิ่มขึ้นสักที”
หรือ “ทำโฆษณาแล้ว ได้แต่คลิก ไม่ได้ Conversion”

ประโยคเหล่านี้  เป็นปัญหาส่วนใหญ่ของคนทำโฆษณาที่ต้องเจอ ดังนั้น

เมื่อเขาเห็นข้อความที่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเจออยู่แบบเป๊ะ ๆ เขาจะรู้สึกทันทีว่า “โฆษณานี้กำลังพูดกับฉันอยู่” และนั่นแหละคือจุดที่เขาตัดสินใจกดเข้ามาดู — เพราะเขารู้สึกว่า นี่แหละ คนที่จะแก้ปัญหาของฉัน


2. ระบุ Touchpoint ทุกจุดที่ลูกค้าจะเจอแบรนด์

Touchpoint คือจุดที่ลูกค้าสัมผัสกับแบรนด์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ก่อนซื้อ ระหว่างซื้อ และหลังซื้อ เช่น เห็นโพสต์ในโซเชียล เข้าเว็บไซต์ สอบถามใน Line OA หรืออ่านรีวิวจากเว็บอื่น ๆ

หลายธุรกิจพลาดเพราะ “ไม่รู้ว่าลูกค้าเจอเราจากไหน” หรือไม่ได้วางแผนประสบการณ์ที่ดีในแต่ละจุด ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างความสนใจกับการตัดสินใจซื้อ

ลองเขียนไล่เรียง Touchpoint เหล่านี้ออกมาอย่างจริงจัง คุณอาจพบจุดที่ควรเสริม เช่น ไม่มีรีวิวสินค้า หรือไม่มีคนตอบแชตเร็วพอ ซึ่งเป็นจุดเล็ก ๆ ที่สร้างความแตกต่างใหญ่ได้มาก


3. วิเคราะห์ Pain Point และโอกาสในแต่ละช่วง

เมื่อรู้ว่าแต่ละ Touchpoint อยู่ตรงไหน ขั้นต่อไปคือการเข้าใจว่า ลูกค้า “คิดอะไร” และ “รู้สึกอย่างไร” กับแต่ละจุดนั้น

บางคนอาจสนใจสินค้า แต่ลังเลเพราะไม่มีรีวิวช่วยตัดสินใจ บางคนเจอราคาน่าสนใจ แต่รอพนักงานตอบแชตนานเกินไป จนเปลี่ยนใจไปซื้อร้านอื่น ปัญหาแบบนี้อาจดูเล็ก แต่กระทบยอดขายโดยตรง

ในทางกลับกัน ถ้ามีจุดไหนที่ลูกค้ารู้สึกดี เช่น รู้สึกว่าแอดมินตอบเร็ว ให้คำแนะนำดี ตรงนั้นก็คือ “โอกาส” ที่คุณควรขยาย

เช่นร้านขายของออนไลน์ พวกเขาเริ่มสังเกตว่ามีลูกค้าหลายคนบ่นว่ารอแชตนานเกินไป บางคนทักมาตอนดึกแล้วไม่มีใครตอบ สุดท้ายก็ไปซื้อที่อื่น พอเจอแบบนี้บ่อยเข้า เจ้าของร้านมองเห็นว่า นี่คือ Pain Point ที่กลายเป็น “ช่องว่างทางธุรกิจ”

เขาจึงแก้ปัญหานี้ด้วยการทำ AI สำหรับตอบแชต ที่ตอบคำถามพื้นฐานแทนทีมแอดมิน ทั้งเรื่องราคา วิธีสั่งซื้อ การจัดส่ง หรือแม้แต่แจ้งสถานะสินค้าแบบเรียลไทม์

พอระบบแชตเร็วขึ้น ลูกค้าก็ไม่ต้องรอ แถมยังรู้สึกว่าแบรนด์ใส่ใจ แม้จะทักมาตอนดึก ๆ ก็ตาม และที่สำคัญคือ โอกาสปิดการขายในแต่ละแชตก็สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

การเข้าใจทั้ง Pain Point และโอกาสในแต่ละช่วง คือหัวใจของการออกแบบ Customer Journey ที่เวิร์กจริง ไม่ใช่แค่เขียนสวยในกระดาษ


4. สร้าง Customer Journey Map จากข้อมูลจริง

ได้เลยครับ ขออภัยที่ยาวเกินไป ลองเวอร์ชันที่กระชับและมีความยาวใกล้เคียงของเดิม ตามนี้ครับ


4. สร้าง Customer Journey Map จากข้อมูลจริง

ตอนนี้คุณมีข้อมูลทั้ง Persona, Touchpoint และ Pain Point แล้ว ก็ถึงเวลาสร้าง Customer Journey Map เพื่อให้ทุกฝ่ายในทีมเห็นภาพรวมและเข้าใจตรงกัน

Journey Map ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แค่แสดงให้เห็นว่าในแต่ละช่วง ลูกค้าทำอะไร เจออะไร และรู้สึกอย่างไร โดยอาจแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้

  • Awareness: เห็นรีวิวจากเพื่อนใน Facebook → เริ่มสนใจ
  • Consideration: เข้าเว็บ อ่านรีวิวสินค้า → ยังไม่แน่ใจ
  • Purchase: เปรียบเทียบราคา เจอโปรโมชั่น → ตัดสินใจซื้อ
  • Retention: ได้รับสินค้า แพ็กเกจดี ลองใช้แล้วชอบ → รู้สึกประทับใจ
  • Advocacy: ประทับใจมาก → โพสต์รีวิว บอกต่อเพื่อน

สิ่งสำคัญที่สุดคือ Journey Map ต้องสร้างจาก “ข้อมูลจริง” เช่น Analytics หรือแบบสอบถาม ไม่ใช่การคาดเดา เพราะ Insight ที่ถูกต้องจะนำไปสู่การพัฒนาที่ตรงจุด


5. ทดสอบ ปรับ และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

Customer Journey ไม่ใช่เอกสารที่เขียนเสร็จแล้วเก็บไว้ดู — มันควรเป็นเครื่องมือที่ “เติบโตไปพร้อมกับลูกค้า”

พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนเร็วมาก บางช่วงเขาอยู่บน Facebook เยอะ บางช่วงย้ายไป TikTok หรือเกิดความคาดหวังใหม่จากคู่แข่งในตลาด

คุณควรทดสอบ (เช่น A/B Testing หน้าเว็บ), เก็บ Feedback (ผ่านรีวิวหรือแชต), และอัปเดต Journey อยู่เสมอ เพื่อให้กลยุทธ์ของคุณ “อยู่ในจังหวะเดียวกับลูกค้า” ตลอดเวลา


ตัวอย่างการใช้ Customer Journey กับธุรกิจ SME

ร้านอาหารสไตล์ฟิวชันแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เริ่มต้นด้วยการเปิดร้านในซอยที่ไม่ได้มีคนเดินพลุกพล่าน แต่กลับกลายเป็นร้านที่มีลูกค้าแน่นทุกวัน โดยไม่ต้องซื้อโฆษณาเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพวกเขา “เข้าใจเส้นทางของลูกค้า” แบบลึกซึ้ง

ทีมงานของร้านสังเกตว่ากลุ่มลูกค้าหลักไม่ได้มาจากการ เห็นหน้าร้านแล้วแวะเข้ามามาทาน แต่ “มากจากคลิปไวรัลใน TikTok และ Reels” ซึ่งมีทั้งที่ลูกค้าลงเองและทางร้านถ่ายขึ้นมา

หลังวิเคราะห์ Customer Journey อย่างละเอียด พวกเขาพบว่า Journey ของลูกค้ามีรูปแบบที่น่าสนใจ:

  • ช่วงเวลากลางคืน โดยเฉพาะหลังสี่ทุ่ม เป็นช่วงที่คนมักไถ TikTok แล้วเจอคลิปอาหาร → เกิดความหิว → กดเซฟร้านไว้ในแอปแผนที่หรือแชร์กับเพื่อนในแชต
  • วันหยุดหรือเย็นวันศุกร์คือช่วงที่คนกลับมาดูคลิปที่เซฟไว้ แล้ววางแผนออกไปตามรอย
  • คลิปที่ติดไวรัลส่วนใหญ่ไม่ใช่คลิปเมนู แต่เป็นคลิปบรรยากาศร้าน การจัดจาน มุมสวย ๆ ที่น่าถ่ายรูป

เมื่อรู้เช่นนี้ ทางร้านจึงไม่ทำแค่คลิปขายอาหารแบบเดิม ๆ แต่ลงทุนกับการสร้าง “คลิปเล่าเรื่อง” ที่เน้น Mood & Tone เช่น การถ่ายแสงร้านยามค่ำคืน การวางอาหารในมุมกล้องที่สวยเหมือนดูหนัง และการเลือกเพลงที่คนฟังแล้วรู้สึก “อยากออกจากบ้านตอนนี้เลย”

Key Takeaway: ร้านเข้าใจว่าพฤติกรรมการเลือกอาหารของคนยุคนี้ไม่ใช่แค่ “อร่อย” แต่ต้อง “ถ่ายรูปได้ – แชร์ได้ – บอกต่อได้” และ Customer Journey ของลูกค้าเริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่หิว แต่อยู่ในอารมณ์ “อยากดูอะไรเพลิน ๆ” ซึ่งหากเข้าใจและออกแบบประสบการณ์ตรงนั้นได้ — ลูกค้าจะเดินเข้าร้านเอง โดยไม่ต้องใช้ส่วนลดใด ๆ


Customer Journey ไม่ใช่แค่เรื่องการตลาด แต่คือกลยุทธ์ธุรกิจ

หลายคนเข้าใจว่า Customer Journey เป็นแค่เรื่องของฝ่ายการตลาด แต่ความจริงแล้ว มันคือ “แผนที่กลาง” ที่เชื่อมการทำงานของทั้งทีมขาย ฝ่ายบริการลูกค้า ไปจนถึงผู้บริหาร

เมื่อทุกคนในทีมมองเห็น Journey เดียวกัน — ตั้งแต่ลูกค้าเริ่มสนใจสินค้า เจอปัญหาระหว่างซื้อ ไปจนถึงประสบการณ์หลังการขาย — การสื่อสารภายในทีมจะชัดเจนขึ้น ไม่ต้องคาดเดาว่าลูกค้าต้องการอะไร หรือทำไมลูกค้าถึงไม่ซื้อ ทั้งหมดอยู่ในภาพเดียวกัน

ผลลัพธ์คือ คุณสามารถลดความซ้ำซ้อนในแคมเปญ ปรับกลยุทธ์การขายให้ตรงจังหวะ และที่สำคัญ… ลดงบการตลาดที่สูญเปล่าได้อย่างชัดเจน เพราะคุณรู้ว่าแต่ละบาทควรใช้ “เมื่อไหร่ – ที่ไหน – กับใคร”

การทำโฆษณาโดยไม่มี Customer Journey ก็เหมือนยิงแอดโดยไม่เล็ง — เสียทั้งเงินและโอกาส

แต่ถ้าคุณเข้าใจเส้นทางของลูกค้า คุณจะรู้ว่า “ข้อความไหนควรส่งตอนที่เขากำลังลังเล” และ “ข้อเสนอไหนควรปล่อยเมื่อเขาพร้อมจะตัดสินใจ”

Customer Journey จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือวางแผนการตลาด แต่คือ “เข็มทิศธุรกิจ” ที่ช่วยให้ทุกทีมขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน


คำถามน่าสนใจเกี่ยวกับ Customer Journey

1. ถ้าเป็นธุรกิจเล็ก ๆ ที่มีงบจำกัด ยังจำเป็นต้องทำ Customer Journey ไหม?

จำเป็นครับ เพราะ Customer Journey ไม่ได้เกี่ยวกับงบประมาณเท่าไหร่ แต่เกี่ยวกับ “ความเข้าใจลูกค้า” ยิ่งคุณมีทรัพยากรน้อย ยิ่งต้องใช้ให้ตรงจุด ถ้ารู้ว่าลูกค้าเจอแบรนด์จากที่ไหน ตัดสินใจยังไง ก็จะไม่เสียเงินไปกับแคมเปญที่ไม่ได้ผล

2. การเข้าใจ Customer Journey จะช่วยเรื่องยอดขายได้จริงไหม?

ช่วยแน่นอนครับ เพราะมันทำให้คุณ “สื่อสารกับลูกค้าได้ในจังหวะที่ใช่” ไม่ใช่แค่หว่าน โฆษณา ไปเรื่อย ๆ แล้วรอลุ้น ถ้าคุณรู้ว่าเขากำลังลังเลเรื่องอะไร คุณก็จะรู้ว่าจะพูดอะไร หรือเสนออะไรให้เขาตัดสินใจง่ายขึ้น

3. ทำยังไงถ้าเราไม่แน่ใจว่า Pain Point ของลูกค้าอยู่ตรงไหน?

เริ่มจากฟังลูกค้าก่อนเลยครับ อ่านรีวิวย้อนหลัง, ดูแชตที่เคยคุย, หรือถามทีมที่เจอลูกค้าบ่อย ๆ เช่น แอดมินหรือฝ่ายขาย Pain Point มักไม่ซับซ้อน แต่เรามองข้ามมันเพราะ “คิดแทนลูกค้า” มากเกินไป

4. ต้องทำ Customer Journey ใหม่ทุกครั้งที่ออกแคมเปญหรือเปล่า?

ไม่ต้องทำใหม่ทั้งหมดครับ แต่ควรเอา Journey เดิมมาทบทวน แล้วดูว่าต้องปรับตรงไหนให้เข้ากับแคมเปญ เช่น แคมเปญ Flash Sale ลูกค้าอาจตัดสินใจเร็วกว่า Journey ปกติ → เราต้องทำให้ข้อความกระชับขึ้น, CTA เด่นขึ้น เป็นต้น

5. ถ้าแบรนด์มีสินค้าหลายประเภท ควรทำ Customer Journey แยกหรือรวม?

ควรทำแยกครับ เพราะลูกค้าแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมและจุดตัดสินใจไม่เหมือนกัน เช่น คนที่ซื้อรองเท้าแฟชั่นกับคนที่ซื้อรองเท้าสำหรับวิ่ง ต่างก็มีเหตุผล ความคาดหวัง และขั้นตอนตัดสินใจต่างกัน
ถ้าเอา Journey มารวมกันทั้งหมด จะทำให้คุณมองพฤติกรรมลูกค้าผิด เช่น สินค้าบางกลุ่มควรเน้นรีวิว บางกลุ่มต้องเน้นคุณสมบัติด้านเทคนิค แต่คุณอาจเผลอใช้ข้อความเดียวกันทั้งหมด จนลูกค้าไม่รู้สึกว่าแบรนด์ “เข้าใจเขาจริง ๆ”
แนวทางที่แนะนำคือ แยก Customer Journey ตาม “วัตถุประสงค์ของการซื้อ” หรือ “กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก” เพื่อให้คุณออกแบบการตลาดที่ตอบโจทย์แต่ละกลุ่มได้ตรงจุดที่สุด

บทความที่น่าสนใจ