คุณได้ยินเรื่องราวความสำเร็จของ Google Ads มามากมาย และตอนนี้ก็พร้อมที่จะลงมือทำด้วยตัวเอง แต่เมื่อเปิดหน้าแพลตฟอร์มขึ้นมา คำถามแรกที่ผุดขึ้นในใจก็คือ “จะเริ่มตรงไหน?” หรือ “Google Ads ทํายังไงกันแน่?”
ไม่ต้องกังวลครับ! การสร้างแคมเปญ Google Ads ครั้งแรกอาจดูซับซ้อน แต่จริงๆ แล้วมีขั้นตอนที่ชัดเจนและเรียนรู้ได้ คู่มือนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ “จับมือคุณทำ” ไปทีละขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างบัญชีไปจนถึงการเปิดตัวแคมเปญแรก เพื่อให้คุณสามารถเริ่มต้นนำเสนอธุรกิจของคุณต่อหน้าลูกค้านับล้านบน Google ได้อย่างมั่นใจ
จากผู้เริ่มต้นสู่มืออาชีพ
การเริ่มต้นด้วยตัวเองเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมในการเรียนรู้ แต่เมื่อแคมเปญของคุณเริ่มซับซ้อนและต้องการผลลัพธ์ที่สูงขึ้น การมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลคือทางลัดสู่ความสำเร็จ ที่ MSKMedia เราได้ช่วยธุรกิจจำนวนมากที่เริ่มต้นจากการลองทำด้วยตัวเอง แล้วมาต่อยอดกับเราเพื่อขยายขนาดและเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญให้ได้ ROI สูงสุด เราเข้าใจทุกขั้นตอนของกระบวนการ และพร้อมที่จะเข้ามาช่วยในวันที่คุณต้องการสเกลอัพ
ก่อนเริ่มต้น: 3 สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อม
- เว็บไซต์ หรือ Landing Page: นี่คือ “ปลายทาง” ที่คุณจะส่งลูกค้าไปหลังจากที่พวกเขาคลิกโฆษณา
- เป้าหมายทางธุรกิจที่ชัดเจน: คุณต้องการอะไร? (เช่น ยอดขาย, การโทร, การกรอกฟอร์ม)
- บัตรเครดิต/เดบิต: สำหรับตั้งค่าการชำระเงินกับ Google
โครงสร้างบัญชี Google Ads ที่ถูกต้อง: พื้นฐานสำคัญสู่ความสำเร็จ
ก่อนจะสร้างแคมเปญ เราต้องเข้าใจโครงสร้างบัญชีเสียก่อน การจัดระเบียบที่ดีตั้งแต่แรกจะช่วยให้บริหารจัดการและวัดผลได้ง่ายในระยะยาว
ระดับ (Level) | หน้าที่ (Function) | ตัวอย่าง (สำหรับร้านขายรองเท้า) |
Account (บัญชี) | 1 บัญชี ต่อ 1 ธุรกิจ รวบรวมข้อมูลการชำระเงินและผู้ใช้งาน | บริษัท รองเท้าดี จำกัด |
Campaign (แคมเปญ) | แบ่งตามเป้าหมาย, ประเภทสินค้าหลัก, หรือพื้นที่ | แคมเปญ “รองเท้าวิ่ง”, แคมเปญ “รองเท้าแตะ” |
Ad Group (กลุ่มโฆษณา) | แบ่งตามกลุ่มคีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น | ในแคมเปญ “รองเท้าวิ่ง”: กลุ่ม “รองเท้าวิ่งชาย”, กลุ่ม “รองเท้าวิ่งหญิง” |
Keywords & Ads | คีย์เวิร์ดและข้อความโฆษณาที่เกี่ยวข้องกันอย่างยิ่ง | ในกลุ่ม “รองเท้าวิ่งชาย”: คีย์เวิร์ด “รองเท้าวิ่งชาย nike”, โฆษณา “โปรโมชั่นรองเท้าวิ่งชาย Nike…” |
7 ขั้นตอนการสร้างโฆษณา Google Ads ครั้งแรก
เมื่อเข้าใจโครงสร้างแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือสร้างแคมเปญแรกของคุณ
ขั้นตอนที่ 1: สร้างบัญชี Google Ads
ไปที่ ads.google.com และคลิก “Start Now” ทำตามขั้นตอนโดยใช้บัญชี Google ของคุณ แนะนำให้เลือก “Switch to Expert Mode” (สลับไปใช้โหมดผู้เชี่ยวชาญ) ตั้งแต่แรก เพื่อให้คุณเข้าถึงฟังก์ชันการทำงานได้ทั้งหมด
ขั้นตอนที่ 2: ตั้งค่าแคมเปญแรก
คลิก “New Campaign” และเลือวัตถุประสงค์ (Objective) ที่ตรงกับเป้าหมายของคุณมากที่สุด เช่น “Sales” หรือ “Leads” จากนั้นเลือกประเภทแคมเปญที่คุณต้องการ เช่น “Search” สำหรับโฆษณาบนหน้าค้นหา
ขั้นตอนที่ 3: กำหนดงบประมาณและการเสนอราคา (Bidding)
กำหนด “งบประมาณรายวัน” (Daily Budget) ที่คุณยินดีจ่าย สำหรับการเสนอราคา (Bidding) ในช่วงแรก แนะนำให้เลือก “Clicks” เพื่อเน้นให้มีคนคลิกเข้าเว็บไซต์มากที่สุดก่อน
ขั้นตอนที่ 4: การตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายและตำแหน่ง
เลือก “พื้นที่เป้าหมาย” (Location) ที่คุณต้องการให้โฆษณาแสดง (เช่น ประเทศไทย, หรือเฉพาะจังหวัดนครราชสีมา) และเลือก “ภาษา” (Language) ของกลุ่มเป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 5: การเลือกคีย์เวิร์ด (Keywords)
ในส่วนของ Ad Group ให้ใส่ “คีย์เวิร์ด” หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ ใช้เครื่องมือ Keyword Planner ของ Google เพื่อหาไอเดียเพิ่มเติม
ขั้นตอนที่ 6: สร้างโฆษณาของคุณ (Create Your Ad)
เขียน “พาดหัว” (Headlines) และ “คำอธิบาย” (Descriptions) ที่น่าดึงดูด ใส่ URL ของ Landing Page และอย่าลืมใส่จุดขายและคำกระตุ้นการตัดสินใจ (Call-to-Action) ที่ชัดเจน
ขั้นตอนที่ 7: ตั้งค่าการชำระเงินและเปิดตัว
กรอกข้อมูลการชำระเงินของคุณให้เรียบร้อย ตรวจสอบการตั้งค่าทั้งหมดอีกครั้ง เมื่อพร้อมแล้ว กด “Publish” เพื่อส่งแคมเปญให้ Google ตรวจสอบและเริ่มทำงาน
ทำแคมเปญแล้วทำอะไรต่อ? การวัดผลและปรับปรุง
หลังจากแคมเปญเริ่มทำงานแล้ว หน้าที่ของคุณยังไม่จบ คุณต้องคอยตรวจสอบประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ ดูตัวชี้วัดสำคัญ เช่น อัตราการคลิก (CTR), ราคาต่อคลิก (CPC), และที่สำคัญที่สุดคือ Conversion (การกระทำที่นำไปสู่เป้าหมายทางธุรกิจ) เพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงแคมเปญให้ดีขึ้น
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
แนะนำให้เลือก Expert Mode (โหมดผู้เชี่ยวชาญ) เสมอ แม้จะดูซับซ้อนกว่า แต่จะทำให้คุณสามารถควบคุมและเข้าถึงฟีเจอร์ที่สำคัญทั้งหมดได้ ในขณะที่ Smart Mode จะจำกัดการตั้งค่าของคุณอย่างมาก
คือการตั้งค่าที่บอก Google ว่าจะให้คีย์เวิร์ดของคุณทำงานกว้างแค่ไหน มี 3 ประเภทหลักคือ: Broad Match (ทำงานกว้างที่สุด), “Phrase Match” (ทำงานกับวลีที่ใกล้เคียง), และ [Exact Match] (ทำงานกับคำที่ตรงตัวที่สุด) สำหรับผู้เริ่มต้น การใช้ Phrase Match และ Exact Match จะช่วยควบคุมงบประมาณได้ดีกว่า
คุณสามารถสร้าง Conversion Action ได้ในเมนู Tools and Settings > Conversions จากนั้น Google จะให้โค้ด (Tag) เพื่อนำไปติดตั้งบนเว็บไซต์ของคุณในหน้า “Thank You” หรือหน้าที่ปรากฏขึ้นหลังจากลูกค้าทำสิ่งที่คุณต้องการสำเร็จ (เช่น สั่งซื้อ, กรอกฟอร์ม) นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการวัดผล ROI
เพื่อให้โฆษณาและคีย์เวิร์ดในแต่ละกลุ่มมีความเกี่ยวข้องกันมากที่สุด ซึ่งจะส่งผลให้คะแนนคุณภาพ (Quality Score) สูงขึ้น และทำให้ค่าโฆษณาของคุณถูกลง
ไม่จำเป็นครับ Google อาจใช้จ่ายน้อยกว่าในวันที่การค้นหาน้อย และอาจใช้จ่ายมากกว่าเล็กน้อย (แต่ไม่เกิน 2 เท่าของงบรายวัน) ในวันที่มีโอกาสสร้าง Conversion สูง แต่จะเฉลี่ยให้ค่าใช้จ่ายทั้งเดือนไม่เกินงบที่คุณตั้งไว้
References
เพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างแคมเปญ Google Ads นี่คือแหล่งข้อมูลคุณภาพที่คุณสามารถอ่านต่อได้:
- Google Ads Help – Create a campaign: คู่มือการสร้างแคมเปญอย่างเป็นทางการและละเอียดที่สุดจาก Google โดยตรง https://support.google.com/google-ads/answer/6366720
- WordStream – How to Use Google Ads: A Complete Tutorial: คู่มือสอนการใช้งาน Google Ads แบบครบวงจรพร้อมรูปภาพประกอบ (ภาษาอังกฤษ) https://www.wordstream.com/google-ads
- Simplilearn – How to Create a Google Ads Campaign?: วิดีโอและบทความสอนการสร้างแคมเปญทีละขั้นตอน เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเรียนรู้ผ่านการดู (ภาษาอังกฤษ) https://www.simplilearn.com/tutorials/ppc-tutorial/how-to-create-google-ads-campaign