เคยไหม…ลงโฆษณา Google Ads ไป แต่ยอดคลิกกลับน้อยผิดคาด
หนึ่งในจุดที่มักพลาดกันก็คือ “ข้อความโฆษณา” เพราะถึงแม้เราจะตั้งค่าทุกอย่างถูกต้อง แต่ถ้าข้อความไม่น่าสนใจ ไม่ตอบโจทย์ลูกค้า ก็แทบไม่มีใครอยากคลิก หรือคลิกแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากซื้อ
บทความนี้จะมาแชร์ 5 เทคนิคเขียนโฆษณา Google Ads ที่ไม่ใช่แค่ดึงดูดคนให้คลิก แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายด้วย
เขียนโฆษณากูเกิ้ลยังไงให้ดึงดูดลูกค้าและเพิ่มโอกาสขาย?
- โฆษณาบน Google คือจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจซื้อ
ลูกค้าค้นหาอะไรบางอย่าง แล้วเจอโฆษณาของเรา ถ้าเขารู้สึกว่า “นี่แหละคือสิ่งที่ค้นหา” ตั้งแต่ประโยคแรก เขาก็จะคลิก และมีแนวโน้มจะซื้อ
แต่ถ้าเขาเห็นข้อความที่ดูทั่วไป ไม่ชวนสนใจ ก็อาจเลื่อนผ่านเราไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน - ข้อความโฆษณาที่ดี ต้องสื่อสาร “จุดขาย” ได้ภายในไม่กี่วินาที
ลูกค้าไม่มีเวลามานั่งอ่านยาว ๆ บนหน้าผลการค้นหา สิ่งที่เขาอยากรู้คือ “คุณมีสิ่งที่เขาต้องการหรือเปล่า”
ถ้าใช่ เขาจะคลิกทันที ถ้าไม่ชัดเจน โฆษณานั้นก็ไร้ความหมาย
อ้างอิง: support.google.com/google-ads/
เทคนิคที่ 1 – เข้าใจความต้องการของลูกค้าให้ชัดก่อนเขียน
เขียนโฆษณาให้ดี ต้องเริ่มจากเข้าใจว่า “ลูกค้าอยากได้อะไร” ไม่ใช่แค่ว่าเราขายอะไร
หลายคนเริ่มจากบอกว่า “เราขายอะไร” แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่ลูกค้าสนใจคือ “ปัญหาของเขาจะถูกแก้ยังไง”
ถ้าเราเข้าใจมุมมองของลูกค้า การเขียนข้อความจะเปลี่ยนจาก “ขายของ” → “เสนอทางออก”
หา Insight ลูกค้าจากของจริง ไม่ต้องเดา
เริ่มจากลองพิมพ์คำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณใน Google แล้วสังเกตว่าคนใช้คำแบบไหน คำไหนขึ้นบ่อย หรือคำไหนสื่อถึงความเร่งด่วน เช่น “ล้างแอร์ด่วน” หรือ “ราคาถูก”
ต่อมาเข้าไปอ่านรีวิวของคู่แข่งใน Google Maps หรือ Facebook ดูว่าลูกค้าพูดถึงอะไรบ้าง — สิ่งที่ลูกค้าชอบคือจุดแข็งที่ควรเน้น ส่วนสิ่งที่ไม่ชอบก็คือโอกาสที่คุณจะทำให้ดีกว่า แล้วดึงมาใช้เขียนโฆษณาให้ตรงใจลูกค้าแบบไม่ต้องเดาเอา
- คำถามที่ควรถามก่อนเขียนโฆษณา
- ลูกค้ากลุ่มนี้มีปัญหาอะไร?
- เขาอยู่ในสถานการณ์เร่งด่วนไหม?
- Location สำคัญต่อพวกเขาไหม?
เขาอยากเห็นอะไรในคำโฆษณา? (โปรโมชั่น? ความน่าเชื่อถือ? ความรวดเร็วในการให้บริการ? พื้นที่ใกล้เคียง?)
เทคนิคที่ 2 – เขียน Headline ให้น่าสนใจใน 30 ตัวอักษรแรก
Headline คือจุดตัดสินใจแรกสุดว่าโฆษณาจะได้ผลหรือไม่
โดยเฉพาะบนมือถือ ที่แสดงข้อความได้แค่ไม่กี่คำ หากหัวข้อไม่ “สะดุดสายตา” ลูกค้าก็อาจเลื่อนผ่านไปทันทีโดยไม่ได้อ่านรายละเอียดที่เหลือ
ใน Headline ควรมี Keyword หลักที่ลูกค้ากำลังค้นหา
เพราะเมื่อคนเห็นคำที่เขาพิมพ์ไว้ ปรากฏอยู่ในโฆษณา เขาจะรู้ทันทีว่าโฆษณานี้ตรงกับสิ่งที่กำลังหา และมีแนวโน้มจะคลิกมากขึ้น
Google เองก็ให้ความสำคัญกับความเกี่ยวข้องระหว่างข้อความโฆษณาและคำค้นหา ทำให้โฆษณามีโอกาสแสดงบ่อยและเห็นชัดขึ้น
แต่อย่าใส่คีย์เวิร์ดแบบทื่อ ๆ ต้องให้ให้ดูเป็นธรรมชาติ
หัวข้อที่ดีควรใช้ภาษาที่ “คนจริง ๆ” พูดกันในชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นต้องยกคีย์เวิร์ดมาแบบตรงเป๊ะ เช่น:
- แทนที่จะใช้: “บริการรับทำบัญชีออนไลน์”
- ลองเขียนว่า: “ทำบัญชีรายเดือน ออนไลน์ สะดวก ราคาประหยัด”
แบบนี้ยังมีคีย์เวิร์ดครบ แต่ดูเข้าใจง่ายกว่า และน่าเชื่อถือกว่ามาก
ตัวอย่าง Headline ในรูปแบบต่างๆ:
- “โปรล้างแอร์ 990 บาท วันนี้วันเดียว!”
→ เร่งด่วน + ราคาชัดเจน กระตุ้นให้คลิกทันที - “คอร์สแต่งหน้ามือใหม่ ฟรีอุปกรณ์ เรียนจบทำได้เลย”
→ มีโปรโมชัน แต่โฟกัสที่ “ผลลัพธ์” และ “ความมั่นใจ” - “ออกแบบเว็บไซต์ธุรกิจ เริ่มต้น 9,900 บาท”
→ เน้นราคา + บอกประเภทบริการชัดเจน - “บริการแต่งหน้าเจ้าสาวถึงบ้าน ฟรีทดลองลุค”
→ มีของแถม + เหมาะกับช่วงตัดสินใจสำคัญ - “ขายส่งเสื้อผ้าแฟชั่น ราคาต่อชิ้นเริ่ม 59 บาท”
→ เน้นราคาปลีก-ส่ง ดึงดูดกลุ่มค้าส่งหรือออนไลน์ - “ที่พักติดทะเล พัทยา ลด 50% ทุกวันศุกร์”
→ สื่อโลเคชันชัด + มีโปรโมชันเฉพาะวัน - “สินเชื่อบุคคล อนุมัติไว ไม่เช็คเครดิต”
→ ตรงปัญหา + ใช้ภาษาที่คนกลุ่มเป้าหมายเข้าใจ - “อาหารคลีนพร้อมทาน ส่งทุกเช้า ฟรีค่าส่ง”
→ เน้นไลฟ์สไตล์ + สะดวกสำหรับคนไม่มีเวลา - “สมัครเรียนดนตรีวันนี้ รับคอร์สฟรี 1 เดือน”
→ มีโปรแรง + กระตุ้นการตัดสินใจ - “ผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ไม่มีขั้นต่ำ”
→ เจาะปัญหาคนเริ่มธุรกิจ ที่กลัวเรื่องจำนวน
เทคนิคที่ 3 – เขียนข้อความโฆษณาให้กระชับ เข้าใจง่าย และกระตุ้นให้คลิก

ใช้โครงสร้าง PAS / AIDA ช่วยให้เขียนโฆษณาง่ายขึ้น
เวลาเราเขียนโฆษณา ถ้าคิดไม่ออกว่าจะเริ่มยังไงดี ลองใช้สูตรสำเร็จอย่าง PAS หรือ AIDA ช่วยจัดโครงสร้างความคิดดูครับ ทั้งสองสูตรนี้เป็นเทคนิคยอดนิยมในวงการโฆษณาที่มืออาชีพใช้กันเยอะ เพราะช่วยให้ข้อความกระชับ ชัดเจน และกระตุ้นให้คนสนใจมากขึ้น
สูตร PAS คืออะไร?
PAS ย่อมาจาก Problem – Agitate – Solution
เป็นสูตรที่เริ่มจากการพูดถึง “ปัญหา” ของลูกค้า → ตอกย้ำให้เขารู้สึกว่าปัญหานั้นน่ารำคาญ → แล้วเสนอ “ทางแก้” ที่เรามี
ตัวอย่างการใช้ PAS ในโฆษณา:
- “ผิวแห้ง คันง่ายใช่ไหม?” → (Problem)
- “แค่เปิดแอร์ก็คันยิบไปทั้งตัว” → (Agitate)
- “โลชั่นสูตรออร์แกนิก ลดอาการคันทันที พร้อมส่ง” → (Solution)
สูตรนี้เหมาะมากกับสินค้าที่แก้ปัญหาเฉพาะ เช่น สินค้าสุขภาพ บริการซ่อมแซม หรือของใช้ในบ้าน
สูตร AIDA คืออะไร?
AIDA ย่อมาจาก Attention – Interest – Desire – Action
เป็นสูตรที่ใช้ลำดับความรู้สึกของลูกค้า เริ่มจากดึงความสนใจ → กระตุ้นความสนใจ → ทำให้รู้สึกอยากได้ → ปิดท้ายด้วยการชวนให้ลงมือทำ
ตัวอย่างการใช้ AIDA:
- “เบื่ออาหารเดิม ๆ?” → (Attention)
- “ลองเมนูอาหารคลีนใหม่ อร่อย ไม่จืด” → (Interest)
- “เริ่มต้นเพียง 69 บาท ส่งถึงบ้าน” → (Desire)
- “คลิกดูเมนูตอนนี้เลย” → (Action)
สูตรนี้เหมาะกับสินค้าและบริการทั่วไป โดยเฉพาะที่มีโปรโมชั่นหรือข้อเสนอเด่น ๆ
เขียน Call-to-Action ให้ชัดเจนว่าผู้อ่านจะได้อะไรหาก “คลิก”
อย่าแค่พูดว่า “สอบถามเพิ่มเติม” ให้พูดแบบที่คนรู้สึกว่า “ต้องรีบ” เช่น
- “จองด่วน ก่อนเต็ม”
- “ทักไลน์วันนี้ รับส่วนลดเพิ่ม”
- “เริ่มคอร์สได้ทันที ไม่ต้องรอรอบ”
เทคนิคที่ 4 – ใช้ Extension ให้ถูกจังหวะ เพิ่มพื้นที่และข้อมูลสำคัญ
Extension ไม่ใช่แค่เพิ่มพื้นที่ให้โฆษณาดูใหญ่ขึ้น แต่ยังช่วยใส่ข้อมูลสำคัญ เช่น บริการ จุดเด่น หรือช่องทางติดต่อ ทำให้ลูกค้าเห็นรายละเอียดครบในคลิกเดียวและตัดสินใจได้เร็วขึ้น
ที่สำคัญคือ เมื่อโฆษณาของเราดูเต็มกว่า น่าเชื่อถือกว่า มันยังไปเบียดให้โฆษณาคู่แข่งที่อยู่ใกล้เคียงดูเล็กลงตามไปด้วย เพิ่มโอกาสที่คนจะคลิกโฆษณาเรามากกว่าเดิม
Extension พื้นฐานที่คุณควรรู้
- Sitelink: ลิงก์เพิ่มไปยังหน้าอื่น เช่น “รีวิวลูกค้า” “ดูสินค้า” หรือ “ติดต่อเรา”
- Callout: คำสั้น ๆ ที่เสริมจุดเด่น เช่น “จัดส่งฟรี” “รับประกัน 1 ปี”
- Structured Snippet: แสดงหมวดหมู่บริการ เช่น “ประเภท: คอร์สสอนสด, เรียนออนไลน์, เรียนตัวต่อตัว”
เลือกใช้ให้เหมาะกับเป้าหมาย
ถ้าคุณขายของออนไลน์: ใช้ Sitelink ให้ลูกค้าไปหน้ารวมสินค้า
ถ้าคุณขายบริการ: ใส่ Callout เพื่อโชว์ความพิเศษ เช่น “ไม่คิดค่าบริการหน้างาน”
เทคนิคที่ 5 – เขียนเหมือนคนคุยกับคน ไม่ใช่เน้นให้ Google อ่าน

- โฆษณาไม่ควรดูเป็นทางการจนเกินไป
ใช้ภาษาที่คนทั่วไปพูดกัน เช่น “พร้อมส่ง” ดีกว่า “จัดส่งภายในระยะเวลาอันสมควร”
อย่าใช้ภาษาหนัก ๆ อย่าง “ดำเนินการจัดจำหน่ายในรูปแบบที่หลากหลาย” - เขียนให้เหมือนกำลังชวนเพื่อนคุย
ลองนึกว่าคุณกำลังเล่าให้เพื่อนฟังว่า ธุรกิจคุณมีอะไรดี แล้วใช้คำนั้นเขียนลงโฆษณาเลย
แบบนี้จะดูจริงใจและน่าเชื่อถือกว่า - วิธีทดสอบโฆษณาง่ายๆ
- ส่งให้เพื่อนลองอ่านดู แล้วถามว่าเข้าใจไหม?
- ทดลองรันแบบ A/B ดูว่าเวอร์ชันไหนคลิกเยอะกว่ากัน แล้วเก็บไว้ปรับใช้ต่อ
- ส่งให้เพื่อนลองอ่านดู แล้วถามว่าเข้าใจไหม?
เขียนโฆษณา Google Adsให้ดี เริ่มจากเข้าใจคนอ่าน
- โฆษณา Google Ads ที่ดีเริ่มจาก “เข้าใจลูกค้า” ไม่ใช่ “ขายของเก่ง”
- ถ้าคุณรู้ว่าคนที่ค้นหานั้นคิดอะไรอยู่ แล้วพูดกับเขาให้ตรงประเด็น โอกาสที่เขาจะคลิกและกลายเป็นลูกค้าก็เพิ่มขึ้นทันที
- ลองเอา 5 เทคนิคนี้ไปใช้ในการเขียนครั้งต่อไป แล้วดูว่าโฆษณาของคุณเปลี่ยนไปยังไง — การเขียนดี ๆ บางครั้ง ไม่ได้ใช้เงินเพิ่ม แต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแบบชัดเจน
อยากให้โฆษณาได้ผลลองดูหน้าเว็บของคุณด้วยหรือยัง
นอกจากการเขียนโฆษณา Google Ads ให้โดนใจแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ หน้าเว็บไซต์หรือ Landing Page ที่ลูกค้าจะคลิกเข้าไปดูต่อ
ถ้าหน้านั้น ไม่น่าเชื่อถือ ข้อมูลไม่ครบ หรือไม่มีจุดกระตุ้นให้ลงมือทำ ต่อให้โฆษณาเขียนมาดีแค่ไหน คนก็อาจออกจากเว็บโดยไม่กรอกแบบฟอร์มหรือทักกลับเลย
หากคุณอยากรู้ว่า Landing Page ที่ดีควรมีอะไรบ้าง ที่จะช่วยเปลี่ยน “คนดู” ให้กลายเป็น “ลูกค้า”
แนะนำให้อ่านบทความนี้ต่อเลยครับ:
Conversion เพิ่มขึ้น! แน่ 4 สิ่งที่คุณต้องใส่ลงใน Landing Page
บทความนี้จะแนะนำองค์ประกอบสำคัญของหน้าเว็บสำหรับยิงโฆษณาแบบเน้นผลลัพธ์ พร้อมตัวอย่างที่คุณเอาไปใช้ได้ทันที
คำถามที่เกี่ยวกับการเขียนโฆษณา Google Ads
ไม่จำเป็นต้องลดราคาเสมอไป สิ่งที่คนสนใจคือ “ได้อะไร” มากกว่าแค่ “จ่ายน้อยลง” ถ้าเน้นผลลัพธ์หรือจุดเด่นที่ลูกค้าอยากได้จริง เช่น บริการเร็ว รับประกัน มีรีวิวดี ๆ ก็ทำให้คนคลิกได้ โดยไม่ต้องแข่งกันลดราคา
โฆษณาต้องเร็ว กระชับ และเข้าเรื่องทันที คนจะคลิกหรือไม่คลิก ตัดสินกันใน 1–2 วินาที ส่วนคอนเทนต์อย่างบทความหรือโพสต์เฟซบุ๊ก คนตั้งใจอ่านมากกว่า โทนและจังหวะของภาษาจึงต่างกัน
ดูง่ายสุดคืออัตราการคลิก (CTR) ถ้าต่ำกว่า 5% สำหรับแคมเปญ Search แปลว่าโฆษณายังไม่ค่อยดึงดูด ลองเปลี่ยน Headline หรือใส่ Call-to-Action ที่ชัดกว่านี้ ถ้า CTR สูงแต่ไม่มีคนซื้อ อาจต้องดูหน้าเว็บหรือข้อเสนอแทน
โฆษณาที่ดีไม่จำเป็นต้องยาว แต่อย่ากระชับจน “ไม่มีอะไรให้ตัดสินใจ” หลักคือ ต้องตอบให้ได้ว่า “นี่คืออะไร เหมาะกับใคร แล้วจะได้อะไร” ภายในไม่กี่บรรทัด ยิ่งเขียนได้ครบโดยไม่ต้องเยิ่นเย้อ ยิ่งได้เปรียบ
ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมาย แต่จากประสบการณ์ของ MSK Media ที่ดูแลโฆษณาให้ลูกค้ามาหลายธุรกิจ เราเห็นชัดเลยว่า ถ้าใช้ภาษาทางการมากเกินไป โดยเฉพาะแบบที่คล้ายภาษาข้าราชการ มักจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร
โฆษณาที่เขียนแบบ “เหมือนคนพูดจริง” ตรงไปตรงมา และเป็นมิตร กลับได้ผลดีกว่าเยอะ โดยเฉพาะบนมือถือที่คนใช้เวลาอ่านแค่ไม่กี่วินาที ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าโดนคุยด้วยจริง ๆ โอกาสคลิกจะเพิ่มขึ้นทันที