อ่านค่า Google Ads แบบไม่ต้อง “งง” หากคุณทำโฆษณา Google แต่ไม่แน่ใจว่าตัวดูอะไร ตัวเลขเต็มหน้าจอ เห็นแล้วมึน ไม่รู้จะเริ่มอ่านจากตรงไหนก่อน? ไม่ต้องห่วงครับ อ่านบทความนี้จบหายงงแน่นอน
เราจะพาคุณมารู้จักกับ 7 Metrics สำคัญใน Google Ads ที่คนเริ่มต้นต้องเข้าใจ พร้อมคำแนะนำว่าแต่ละค่า “บอกอะไร” และ “ถ้าต่ำไปจะแก้ยังไง” ไม่มีศัพท์เทคนิคเยอะ ไม่มีภาษายาก เข้าใจง่ายแบบคุยกับเพื่อนคนหนึ่งเลยครับ
7 Metrics สำคัญของ Google Ads
1. Impressions (จำนวนการแสดงผล)
Impressions คืออะไร?
จำนวนครั้งที่โฆษณาของคุณถูก “แสดง” ให้คนเห็น (แค่เห็นยังไม่ได้คลิก) เช่น โฆษณาคุณขึ้นไปอยู่บน Google ก็จะนับเป็น 1 Impression
อ่านค่าอย่างไร?
ถ้า Impressions เยอะ แปลว่าโฆษณาคุณถูกแสดงบ่อย
แต่ถ้าคุณไม่มี impression เลย ก็แสดงว่า keyword ที่คุณเลือกมันแคบไปจนไม่มีคนค้นหาเลย อีก กรณีนึงก็คือ งบประมาณ คุณต่ำเกินไป( กรณีนี้คุณอาจจะซื้อ keyword ที่แข่งขันสูงมากๆ)
ถ้า Impressions ต่ำเกินไป ต้องทำยังไง?
- เพิ่ม Keyword หรือเลือกคำที่กว้างขึ้น
- ขยายขอบเขตพื้นที่กลุ่มเป้าหมาย เช่น จากเฉพาะ “กรุงเทพ” เป็น “ทั่วประเทศ”
- เพิ่มงบประมาณรายวันให้มากขึ้น หรือปรับ Bid ขึ้นอีกนิด
2. Clicks (จำนวนคลิก)
จำนวน Clicks คืออะไร?
จำนวนครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาของคุณ
อ่านค่าอย่างไร?
Clicks คือ “คนที่สนใจ” ในสิ่งที่คุณโฆษณา จนต้องคลิกเข้ามาดูเว็บไซต์ของคุณ
ถ้า Clicks น้อย ต้องทำยังไง?
- เช็ก keyword ที่คุณซื้อว่าแม่นยำและตรงกับสินค้าคุณหรือไม่
- เพิ่มจุดคลิกด้วย Sitelink, Call, Promotion Extension ฯลฯ
- เขียนข้อความให้ดึงดูดมากขึ้น
3. CTR (Click-Through Rate)
CTR คืออะไร?
อัตราคลิกต่อจำนวนการแสดงผล เช่น โฆษณาคุณถูกแสดง 1,000 ครั้ง แล้วมีคนคลิก 50 ครั้ง → CTR = 5%
CTR อ่านค่าอย่างไร?
CTR เป็นตัววัดว่าโฆษณาน่าสนใจแค่ไหน ถ้าคนเห็นแล้วไม่คลิกเลย แปลว่าโฆษณายังไม่โดนใจหรือยังไม่ตรงกับสิ่งที่คนต้องการ
ถ้า CTR ต่ำ ต้องทำยังไง?
- ปรับหัวข้อให้ดึงดูดและสื่อสารตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
- ใช้คำถามหรือข้อความที่กระตุ้นให้คนรู้สึกอยากคลิก
- เขียนคำอธิบายให้ชัดเจนว่าคนคลิกแล้วจะได้ประโยชน์อะไร
4. CPC (Cost Per Click)
CPC คืออะไร?
ราคาที่คุณต้องจ่ายต่อการคลิก 1 ครั้ง ยิ่งต่ำยิ่งประหยัดงบ แต่ก็ต้องดูด้วยว่า “คนที่คลิก” มีคุณภาพหรือไม่
วิธีคำนวณ CPC:
CPC = งบที่ใช้ไป ÷ จำนวนคลิกที่เกิดขึ้น
เช่น ใช้งบไป 1,000 บาท ได้ 50 คลิก → CPC = 20 บาท
อ่านค่าอย่างไร?
ถ้า CPC สูง แปลว่าคุณกำลังจ่ายแพงเพื่อให้คนคลิกเข้ามา
สิ่งสำคัญคือ คุณต้องพยายามให้ต้นทุนต่อคลิก “ถูกลง” โดยไม่ลดคุณภาพของกลุ่มเป้าหมายที่คลิกเข้ามา
ถ้า CPC สูงเกินไป ต้องทำยังไง?
- ใช้ Keyword ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น (Long-tail)
- ปรับข้อความโฆษณาให้น่าสนใจและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
- ปรับหน้าเว็บไซต์หรือ Landing Page ให้สอดคล้องกับโฆษณา เพื่อให้ระบบให้ Quality Score สูงขึ้น
อีกหนึ่งวิธีที่แก้ไขได้ผลและช่วยลดต้นทุนเฉลี่ยต่อคลิก คือ การปรับปรุง Quality Score ของโฆษณา
อ่านต่อ👉 อยากให้ค่าโฆษณาถูกลง เริ่มที่ Quality Score ก่อนเลย
5. Conversion (จำนวนการกระทำตามเป้าหมาย)
Conversion คืออะไร?
Conversion คือจำนวน “ผลลัพธ์” ที่เกิดขึ้นจากแคมเปญของคุณ เช่น จำนวนคนที่สั่งซื้อสินค้า กรอกฟอร์ม ติดต่อเข้ามา หรือสมัครใช้งาน
เป็นตัวเลขที่วัดได้จริง ว่าแคมเปญของคุณพาคนไปสู่เป้าหมายที่ต้องการมากน้อยแค่ไหน
อ่านค่าอย่างไร?
สมมติคุณยิงแอด Google Ads แล้วมีคนเข้ามาที่หน้าเว็บไซต์ 1,000 คน
ถ้ามี 3 คนที่กรอกฟอร์ม → เท่ากับคุณได้ Conversion 3 ครั้ง
Conversion แบบนี้นับเป็น “จำนวนครั้ง” ไม่ได้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์
ตัวเลข Conversion ที่น้อย อาจไม่ได้บอกว่าแคมเปญล้มเหลวเสมอไป แต่ควรเริ่มตั้งคำถามว่า
- คนที่เข้ามาเป็น “กลุ่มเป้าหมาย” หรือไม่?
- หน้าเว็บไซต์พาเขาไปจบที่เป้าหมายได้ง่ายพอหรือยัง?
- ต้องตั้งคำถามแล้วว่าทำไมคนเข้ามาแล้วไม่กรอกฟอร์ม
ถ้า Conversion ต่ำ ต้องทำยังไง?
- ตรวจสอบว่า Landing Page มีดีไซน์ที่น่าเชื่อถือและใช้งานง่ายหรือไม่
- เช็กว่าข้อเสนอของคุณดึงดูดพอไหม เช่น ส่วนลด โปรโมชั่น หรือของแถม
- ดูว่า Call-to-Action ชัดเจนหรือยัง เช่น ปุ่ม “สั่งซื้อเลย”, “สมัครใช้งาน”, “จองคิว”
- ตรวจสอบว่าโฆษณาที่ยิงไปนั้น สอดคล้องกับสิ่งที่อยู่ในหน้า Landing Page หรือเปล่า
ถ้าโฆษณาบอกอย่างหนึ่ง แต่เข้าไปแล้วเจออีกอย่าง → คนจะไม่ทำตามเป้าหมาย
อีกหนึ่งปัจจัยที่มักถูกมองข้าม:
- เว็บไซต์โหลดช้า → คนกดปิดก่อน
- ไม่มีรีวิว ไม่มีข้อมูลชัดเจน → คนลังเล
- มีขั้นตอนเยอะเกินไปกว่าจะถึงปุ่ม “ซื้อ” หรือ “สมัคร” → คนหนีไปก่อน
การปรับ Conversion ให้ดีขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องดีไซน์ แต่คือการทำให้ “ทุกอย่างเรียบง่าย ตรงจุด และน่าไว้ใจ”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่คุณจะสามารถวัดผล Conversion แบบนี้ได้
ต้องมั่นใจก่อนว่าเว็บไซต์ของคุณ ติดตั้ง Conversion Tracking ไว้ถูกต้องแล้ว
หากยังไม่ได้ตั้งค่า แนะนำให้เริ่มจากบทความนี้👇
วิธีติดตั้ง Google Ads Conversion Tracking ภายใน 15 นาที
6. Conversion Rate
Conversion Rate คืออะไร?
Conversion Rate คือสัดส่วนของคนที่ “คลิกโฆษณา” แล้ว “ทำตามเป้าหมาย” ที่คุณตั้งไว้ เช่น สั่งซื้อ กรอกฟอร์ม หรือสมัครใช้งาน
พูดง่าย ๆ คือ วัดว่าใน 100 คนที่คลิกเข้ามา มีกี่คนที่ “ลงมือทำจริง” ตามเป้าหมายที่คุณต้องการ
ตัวอย่างวิธีคำนวณ Conversion Rate:
สมมติคุณยิงแอดแล้วมีคนคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ทั้งหมด 1,000 คน
จากนั้นมี 2 คนที่กรอกฟอร์ม หรือสั่งซื้อสำเร็จ → เท่ากับ Conversion Rate ของคุณคือ 0.2% (2 ÷ 1,000 x 100)
อ่านค่าอย่างไร?
Conversion Rate สูง แปลว่าคุณยิงโฆษณาได้ตรงกลุ่ม
คนที่คลิกเข้ามาไม่ได้แค่ “ดูเล่น ๆ” แต่ “สนใจจริง” และรู้สึกว่าข้อเสนอของคุณตอบโจทย์พวกเขา
ในทางกลับกัน ถ้าคลิกเยอะแต่ Conversion Rate ต่ำมาก เช่นต่ำกว่า 1% → แปลว่าแคมเปญยังไม่ตอบโจทย์ อาจเกิดจาก:
- เว็บไซต์ไม่น่าเชื่อถือ คนลังเลเลยไม่กล้ากรอกข้อมูลหรือซื้อ
- ข้อเสนอ (Offer) ไม่น่าสนใจ ยังไม่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายยังไม่รู้สึกว่าคุ้ม
- ขั้นตอนการซื้อหรือกรอกฟอร์มอาจจะเยอะเกินไปจนทำให้คนเปลี่ยนใจ
ถ้า Conversion Rate ต่ำ ต้องทำยังไง?
- ปรับเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ให้ตรงกับสิ่งที่คนคลิกเข้ามาคาดหวัง
- ลดจำนวนขั้นตอนในการซื้อหรือสมัคร เช่น จาก 5 ขั้นตอนเหลือ 2
- ใส่ความน่าเชื่อถือเพิ่ม เช่น รีวิวลูกค้า การันตีผลลัพธ์ โลโก้บริษัท
- ทดสอบหลายแบบ (A/B Testing) เพื่อหาเวอร์ชันที่ Conversion ดีที่สุด
- ใช้เครื่องมือเช็กพฤติกรรม เช่น Google Analytics หรือ Hotjar ดูว่าเขา “หลุด” ไปตรงไหน แล้วแก้จุดนั้นให้กระชับขึ้น
Conversion Rate ไม่ใช่แค่ตัวเลขในระบบ แต่คือสัญญาณบอกภาพรวมว่า “ประสบการณ์ของคนที่คลิกเข้ามา” มันราบรื่น ชัดเจน และทำให้พวกเขาตัดสินใจง่ายแค่ไหน
ถ้าอยากรู้ว่าควรเริ่มปรับตรงไหนก่อน ลองดูเทคนิคที่เรารวมไว้ในบทความนี้ได้เลย👇
Conversion เพิ่มขึ้น! แน่ 4 สิ่งที่คุณต้องใส่ลงใน Landing Page
7. CPA (Cost Per Acquisition)
CPA คืออะไร?
CPA หรือ Cost Per Acquisition คือ ต้นทุนเฉลี่ยที่คุณจ่ายเพื่อให้เกิด 1 Conversion เช่น มีคนซื้อของ กรอกฟอร์ม หรือสมัครใช้งานเป็นตัวชี้วัดว่าเงินที่คุณใช้ไป “แลกกับผลลัพธ์” ได้คุ้มแค่ไหน
วิธีคำนวณ CPA:
CPA = งบที่ใช้ไป ÷ จำนวน Conversion ที่เกิดขึ้น
เช่น ใช้งบ 2,000 บาท แล้วมีคนสั่งซื้อ 4 ราย → CPA = 500 บาท
พูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณจ่าย 500 บาท แล้วได้ลูกค้ามา 1 คน → CPA = 500 บาท
ยิ่งได้ลูกค้าในต้นทุนที่ต่ำลง = แคมเปญยิ่งคุ้มค่า
อ่านค่าอย่างไร?
- CPA ต่ำ = คุณได้ลูกค้าด้วยงบที่ประหยัด → แคมเปญมีประสิทธิภาพ
- CPA สูง = คุณต้องจ่ายแพงกว่าจะได้ลูกค้าหนึ่งคน → ควรหาทางปรับแคมเปญให้ดีขึ้น
อย่าลืมว่า CPA ไม่ได้บอกแค่เรื่องราคา แต่ยังบอกด้วยว่า “เงินที่ลงทุนไป พาคนมาซื้อจริงไหม?”
ถ้า CPA สูง(แพง) ต้องทำยังไง?
- แยกกลุ่มเป้าหมายให้ชัดขึ้น เช่น แทนที่จะยิงไปทั่วประเทศ → ลองยิงเฉพาะคนที่เคยแสดงพฤติกรรมซื้อของคล้ายกันมาก่อน
- ปรับข้อความโฆษณาให้ตรงกับสิ่งที่คนต้องการจริง ๆ → คนที่คลิกเข้ามาจะมีคุณภาพมากขึ้น
- ปรับ Landing Page ให้ปิดการขายได้ดีขึ้น เช่น เพิ่มความน่าเชื่อถือ ลดขั้นตอน กดง่าย
- ใช้ รีมาร์เก็ตติ้ง (Remarketing) เพื่อกลับไปหาคนที่เคยสนใจแต่ยังไม่ซื้อ → คนกลุ่มนี้มีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้สูงกว่าการยิงหาใหม่
ทำ Google Adsให้คุ้ม ต้องเข้าใจว่า “ค่าพวกนี้บอกอะไร”
Google Ads ไม่ใช่เรื่องของการลงเงินแล้วนั่งรอผล
แต่คือการ “อ่านค่าให้เป็น” เพื่อจะได้รู้ว่าอะไรที่ควรปรับ และตรงไหนที่กำลังทำให้เสียงบโดยไม่จำเป็น
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า Metrics ทั้ง 7 ตัวที่เราพูดถึง ไม่ใช่แค่ตัวเลขในระบบ แต่คือหัวใจของการวัดผลที่แม่นยำยิ่งเข้าใจแต่ละค่าลึกเท่าไหร่ โอกาสทำแคมเปญให้คุ้มทุนก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
และถ้าคุณอยากให้คนที่เชี่ยวชาญช่วยดูให้แบบตรงจุด เรามีบริการช่วยวางแผนและจัดการ Google Ads ให้ครบวงจรดูรายละเอียดบริการได้ที่นี่: รับทำ Google Ads โดย MSK Media
คำถามที่พบบ่อยสำหรับเรื่อง Google Ads Metric
เริ่มจากดูง่ายที่สุดก่อน เช่น Clicks, Conversion และ CPA
อย่าเพิ่งไปดูตัวเลขเยอะ ๆ แล้วมึน ให้ถามแค่ว่า “เงินที่จ่ายไป ได้ลูกค้ามากี่คน?” แล้วค่อยไล่ดูว่าจุดไหนทำให้ผลลัพธ์ดีหรือต่ำ
ใช้ไม่เหมือนกันครับ
CTR จะบอกว่าแอดคุณน่าสนใจพอไหม
แต่หากคุณอยากรู้ว่าต่อคลิกคุณจ่ายเงินไปเท่าไหร่ให้ดูที่ → CPC จะบอกว่าคุณจ่ายแพงเกินไปหรือเปล่า
ในทางปฏิบัติ คนที่ยิงแอดเก่ง มักดูทั้งสองค่าไปพร้อมกัน เพื่อหาสมดุลระหว่าง “ราคาต่อคลิก” กับ “คุณภาพของคลิก”
ไม่เสมอไปครับ
หลายครั้งเราเจอว่าโฆษณาเขียนดี คนสนใจ คลิกเข้ามาเพียบ แต่หน้าเว็บไซต์ไม่ได้ช่วยปิดการขาย
บางเคสคือคนเข้าไปแล้วงง ต้องกรอกหลายขั้น หรือเจอหน้าเว็บไม่มั่นใจ เลยออก
แอดอาจไม่พัง แต่ระบบหลังคลิกอาจต้องปรับ
นี่คือเหตุผลที่ Conversion กับ Conversion Rate ต้องวิเคราะห์ควบคู่กัน
โดยทั่วไปแล้ว CTR ควรจะสูง ครับ
เพราะกลุ่มเป้าหมายในตลาดเฉพาะ (Niche) มักเป็นคนที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และตั้งใจค้นหามากกว่า การที่คนกลุ่มนี้เห็น Google Ads ของเรา หากข้อความโฆษณาตรงกับสิ่งที่พวกเขาหาอยู่จริง ๆ จะมีโอกาสคลิกสูงกว่าตลาดทั่วไป
เคยมีลูกค้า MSK Media รายหนึ่งยิงแอดเองทุกวัน งบวันละ 1,000 บาท แต่ไม่ได้ Conversion เลย
พอทีมเราลองเช็กแคมเปญ พบว่าเขา “ไม่เคยใช้ Negative Keywords” และยิงแอดกว้างมากจนคลิกหลุดเป้าหมาย
ทางออกคือวางแผนใหม่แบบละเอียด → แยกกลุ่มเป้าหมายให้ชัด และเขียนแอดให้ตรงมากขึ้น
ภายใน 14 วัน ค่า CPA ลดลงเกินครึ่ง และเริ่มมียอดสั่งซื้อ ดังนั้นการทำโฆษณา Google เนี่ยมันไม่ได้มองค่าใดค่าหนึ่งครับ แทบจำทุกทุกตัวเลขส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ได้หมด