ถ้าคุณกำลังยิงโฆษณา Google Ads แล้วรู้สึกว่า “ทำไมค่าคลิกมันแพงจัง?” หรือ “ทำไมงบหมดเร็ว แต่ยังไม่ได้ผลลัพธ์เท่าที่ควร?”
สิ่งที่คุณอาจมองข้ามอยู่ก็คือ Quality Score หรือ คะแนนคุณภาพของโฆษณา
บทความนี้จะพาไปเข้าใจว่า Quality Score คืออะไร มีผลต่อค่าโฆษณายังไง และที่สำคัญ จะปรับยังไงให้ดีขึ้น จนทำให้ ค่าโฆษณาถูกลงแบบเห็นได้ชัด
Quality Score คืออะไร? ทำไมถึงมีผลกับค่าโฆษณา
Quality Score คือคะแนนที่ Google ใช้ในการประเมินว่าโฆษณาของคุณ “ดีพอ” หรือไม่ โดยวัดจากความเกี่ยวข้องระหว่างสิ่งที่คนค้นหา กับโฆษณา และหน้าเว็บไซต์ที่คุณพาเขาไป
Google จะให้คะแนนนี้อยู่ในช่วง 1–10 คะแนน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อ:
- ตำแหน่งในการแสดงโฆษณา
- ค่าโฆษณาต่อคลิก (CPC)
องค์ประกอบ 3 อย่างที่มีผลต่อ Quality Score
CTR (Click-Through Rate)
CTR คือสัดส่วนของคนที่เห็นโฆษณาแล้วคลิกเข้าไป ยิ่ง CTR สูง Google จะยิ่งมองว่าโฆษณาของคุณ ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา
เช่น ถ้ามีคนเห็นโฆษณา 100 คน แล้วมี 5 คนคลิก → CTR = 5%
ทำไม CTR สำคัญ?
เพราะ Google อยากให้ผู้ใช้งานเจอโฆษณาที่มี “คุณภาพ” จริง ๆ ไม่ใช่แค่โฆษณาที่จ่ายแพง
ถ้าคลิกเยอะ แปลว่าโฆษณาของคุณตอบโจทย์ → Google จะให้คะแนนสูง
Ad Relevance
Ad Relevance คือความสอดคล้องระหว่าง Keyword ที่ซื้อ กับ ข้อความโฆษณา (Ad Copy)
ยิ่งข้อความของคุณพูดถึงสิ่งเดียวกับที่คนค้นหา → คะแนน Ad Relevance ก็จะสูงขึ้น
ตัวอย่าง:
ถ้าคุณซื้อ Keyword คำว่า “รับทำบัญชีรายเดือน” แต่ในโฆษณา ไม่มีคำนี้ประกอบอยู่ด้วย google อาจจะมองว่าโฆษณาของคุณไม่สอดคล้องกัน
Landing Page Experience
Google จะประเมินว่า คนคลิกเข้าไปที่หน้าเว็บไซต์แล้ว
เจอสิ่งที่ต้องการไหม? โหลดเร็วหรือเปล่า? ใช้งานง่ายหรือไม่?
ถ้าหน้า Landing Page:
- มี Keyword ที่ตรงกับโฆษณา
- โหลดเร็ว
- ใช้งานผ่านมือถือได้ดี
- มีโครงสร้างเนื้อหาชัดเจน
Google จะให้คะแนน Landing Page สูง เพราะถือว่าเป็น “ประสบการณ์ใช้งานที่ดี”
Quality Score มีผลยังไงกับค่าโฆษณาของคุณ
คะแนน Quality Score มีผลโดยตรงกับ ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา และ ตำแหน่งในการแสดงผล
- ถ้า คะแนนสูง → โฆษณาของคุณจะถูกแสดงในตำแหน่งที่ดีกว่า แม้จะจ่ายเงินน้อยกว่าคู่แข่งก็ตาม
- ถ้า คะแนนต่ำ → คุณจะต้องจ่ายแพงกว่า เพื่อให้โฆษณาขึ้นในตำแหน่งที่ใกล้เคียง เพราะ Google ไม่ได้มองว่า โฆษณาของคุณสอดคล้องกับสิ่งที่คนค้นหา
ตัวอย่างง่าย ๆ:

*ตารางอ้างอิงมาจากข้อมูลที่บริษัทของเราได้ทำการเก็บสถิติไว้ ไม่ได้เป็นตัวเลขที่มาจาก Google โดยตรง
วิธีเช็ค Quality Score

คุณสามารถเช็กได้จากในบัญชี Google Ads ของคุณเอง โดยทำตามขั้นตอนนี้:
- ไปที่แคมเปญ หรือกลุ่มโฆษณา (Ad Group) ที่คุณต้องการตรวจสอบ
- เลือกแท็บ Keywords ด้านซ้ายมือ
- คลิกที่ “คอลัมน์” (Columns) → ปรับแต่งคอลัมน์ (Modify columns)
- ไปที่หมวด “คุณภาพ” (Quality Score) แล้วเลือกแสดง:
- Quality Score
- CTR
- ความเกี่ยวข้องของโฆษณา (Ad relevance)
- ประสบการณ์หน้า Landing Page (Landing page exp.)
- Quality Score
คุณจะเห็นคะแนนแบบ 1–10 ถ้าต่ำกว่า 7 ถือว่าควรรีบปรับ
วิธีเพิ่ม Quality Score ให้สูงขึ้นเพื่อค่า คลิก ที่ถูกลง
1. เริ่มจากตรวจสอบที่ CTR
ถ้า CTR ต่ำ (เช่น ต่ำกว่า 5%) นั่นอาจแปลว่า ข้อความโฆษณายังไม่น่าสนใจพอ

วิธีแก้ไขหาก CTR ของคุณต่ำ
- ปรับ Headline เขียนให้น่าสนใจ โดยจะต้อง เน้น ประโยชน์ของผู้ค้นเป็นหลัก หากยังไม่รู้ว่าจะเขียนอย่างให้ แนะนำให้อ่าน Copywriting สำหรับยิงแอด เขียนยังไงให้โฆษณาน่าสนใจและขายได้จริง แล้วนำมาปรับใช้ได้เลย
- ใส่ Keyword หลัก ลงไปใน Headline เพื่อให้ตรงกับสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการ Google จะได้มองว่า โฆษณา และ keyword หลัก ของคุณมันสอดคล้องกัน
- เขียน Description ให้ชัดเจนว่าโฆษณานี้เสนออะไร และทำไมควรคลิก เขียนโน้มน้าว ให้คนคลิกให้ได้
2. ตรวจสอบความสอดคล้องของ Keyword กับหน้า Landing Page

ข้อนี้ตัวสอบเบื้องต้นได้ จาก คอลัมน์ Ad relevance และ Landing page exp. หากขึ้นว่า “
Below average” ต้องรับแก้ไขโดยด่วน
Google ให้ความสำคัญมากกับ “ความสอดคล้องกัน (Relevance)” ระหว่าง 3 ส่วนนี้:
- Keyword ที่คุณซื้อ
- ข้อความในโฆษณา (Ad Copy)
- เนื้อหาในหน้า Landing Page
วิธีแก้ไขหากโฆษณาของคุณยังไม่สอดคล้องกัน
- ใส่ Keyword ที่ซื้อ ลงในเนื้อหาของ Landing Page อย่างเป็นธรรมชาติ (เช่น ในหัวข้อ, ย่อหน้าแรก)
- อย่าให้คนคลิกโฆษณาไปเจอหน้าเว็บที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น ซื้อคำว่า “รับทำบัญชี” แต่พาไปหน้าแนะนำบริษัท
- ตรวจสอบว่า โฆษณาสื่อสารตรงกับสิ่งที่อยู่ในหน้าเว็บ เช่น ถ้าใน Ad Copy พูดถึง “โปรโมชั่น 50%” ก็ต้องมีจริงในหน้าเว็บ
Google จะให้คะแนนดีขึ้นเมื่อทุกอย่าง “สอดคล้องและเป็นเรื่องเดียวกัน”
หาก Quality Score สูง จะส่งผลอย่างไร?
ค่าคลิกถูกแม้อยู่ในธุรกิจที่แข่งขันสูง

จากภาพด้านล่างนี้ จะเห็นได้ว่า CPC (Cost per Click) เฉลี่ยของแคมเปญอยู่ที่เพียง 5.47 บาท
ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงแบบนี้
ค่าโฆษณาไม่ได้ถูกลงเพราะโชคช่วย
แต่เพราะเราปรับโครงสร้างแคมเปญให้ Google มองว่า โฆษณานี้มีคุณภาพสูง ทั้งในเรื่อง CTR, Ad Copy และ Landing Page
👉 นี่คือแนวทางการ “แก้ปัญหาโฆษณาแพง” อย่างถูกต้อง
Keyword ที่ทำยอดขายได้ดี มักเป็น Keyword ที่มี Quality Score สูง

หากคุณดูจากภาพประกอบ จะสังเกตว่า Keyword ที่สร้าง Conversion ได้มากที่สุดในแคมเปญ
มักเป็น Keyword ที่มี Quality Score ระดับ 7–10 ทั้งสิ้น
นั่นเพราะ Google ให้รางวัลกับโฆษณาที่มีคุณภาพ โดยลดต้นทุน และเพิ่มโอกาสแสดงผลให้สูงขึ้น
ซึ่งสุดท้ายก็นำไปสู่ ต้นทุนต่อ Conversion ที่ถูกลง และผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
สิ่งนี้ยืนยันว่า การเพิ่ม Quality Score คือการลดต้นทุน และเพิ่มผลลัพธ์ในเวลาเดียวกัน
สรุปแล้วคุณควรเริ่มใส่ใจกับ Quality Score หรือยัง?
แม้ Quality Score จะเป็นแค่ตัวเลข 1–10
แต่มันส่งผลโดยตรงต่อ ค่าใช้จ่าย และ ผลลัพธ์ ของโฆษณา Google Ads อย่างมหาศาล
ถ้าคุณอยากให้โฆษณาทำงานคุ้มค่าในทุกบาทที่จ่าย
เริ่มต้นจากการปรับปรุง คะแนนคุณภาพ ให้สูงขึ้น เพราะนั่นคือจุดเปลี่ยนของการทำโฆษณา
และถ้าคุณกำลังมองหาทีมที่ ไม่ได้แค่ยิงโฆษณาให้ดูดี
แต่เข้าใจลึกถึง Conversion และรู้วิธีปรับแคมเปญให้สร้างลูกค้าได้จริง
MSK Media พร้อมช่วยคุณเพิ่มยอดขาย โดยใช้เงินโฆษณาน้อยลง
อ้างอิงข้อมูล: https://support.google.com/google-ads/answer/6167118?hl=th&sjid=7177516491654155512-NC
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Quality Score
ควรปรับครับ เพราะแม้คุณจะยังได้ลูกค้าอยู่ แต่คุณอาจกำลังจ่ายแพงเกินความจำเป็น
ลองคิดดูว่า ถ้าได้ลูกค้าเหมือนเดิม แต่จ่ายค่าคลิกถูกลง 30–40% แคมเปญของคุณจะกำไรแค่ไหน?
หากคุณมี “คะแนน” ที่ดี ไม่ได้แค่ช่วยลดต้นทุน แต่ยังช่วยให้โฆษณาแสดงในตำแหน่งที่คนคลิกมากขึ้นด้วยเพราะงั้น อย่ามองแค่ “ยอดขายตอนนี้” อย่างเดียว มองที่ “ต้นทุนต่อผลลัพธ์” ด้วยครับ
ถือว่าดีครับ เพราะ Google ให้คะแนนเต็ม 10 แค่กับแคมเปญที่ “ทุกอย่างลงตัวมาก”
ถ้าได้ 8 แปลว่าคุณมี CTR ที่ดี โฆษณาตรง และหน้าเว็บก็โอเคแล้ว
แต่ถ้าอยากให้ดีขึ้นไปอีก ลอง A/B Test เพิ่ม จะช่วยขยับคะแนนได้อีกนิดครับ
มีผลกับยอดขายด้วยครับ เพราะมันส่งผลตั้งแต่ตอนคนเห็นโฆษณาแล้ว
โฆษณาที่มี Quality Score สูงมักขึ้นตำแหน่งดี (อันดับที่ 1) ราคาไม่แพง คนเห็นเยอะ และคลิกมาก
ถ้าโฆษณานั้นพาไปหน้าเว็บที่ดี มี Offer ที่น่าสนใจ ก็มีโอกาสปิดการขายได้ง่ายขึ้น
พูดง่าย ๆ มันช่วยตั้งแต่ต้นทางจนถึง Conversion เลยครับ
ไม่จำเป็นครับ เอาแค่คำที่ใช้จริงในแคมเปญหลัก หรือคำที่สร้างยอดขายก็พอ
บางคำเป็น Branding หรือคำที่ใช้เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมาย อาจไม่ได้คะแนนสูงมากก็ไม่เป็นไร
ถ้ามัวแต่วิ่งไล่ให้ทุกคำได้ 9–10 คุณจะเสียเวลาโดยไม่จำเป็นครับ
เอาทรัพยากรไปปรับคำที่ทำเงินให้ดีที่สุดจะคุ้มกว่ามาก
เริ่มจากดู CTR ครับ เพราะมันเป็นตัวชี้วัดที่เข้าใจง่ายที่สุด
ถ้า CTR ต่ำกว่า 3% ให้ลองปรับข้อความโฆษณาใหม่ เช่น หัวข้อควรกระชับ ชัดเจน และดึงดูด
อย่าลืมใส่ Keyword ลงไปในข้อความด้วย เพราะ Google จะให้คะแนนความเกี่ยวข้องจากตรงนี้
จากนั้นค่อยตรวจสอบหน้า Landing Page ว่ามีเนื้อหาสอดคล้องกับโฆษณาหรือเปล่า โหลดเร็วไหม และใช้ง่ายหรือเปล่า
เริ่มจากตรงนี้ก่อน รับรองว่า “คะแนน” จะค่อย ๆ ดีขึ้นแน่นอนครับ