คุณเคยสังเกตไหมว่า เวลาค้นหาสินค้าอย่าง “รองเท้าวิ่งผู้ชาย” หรือ “เครื่องชงกาแฟ” บน Google นอกจากผลการค้นหาแบบข้อความปกติแล้ว ยังมีแถบโฆษณารูปภาพสินค้าพร้อมราคาและชื่อร้านค้าแสดงขึ้นมาอย่างโดดเด่นอยู่ด้านบนสุด? นั่นแหละครับคือ Google Shopping Ads
สำหรับธุรกิจ E-commerce ในปี 2025 นี่ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” ในการโฆษณาอีกต่อไป แต่เป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่จะช่วยให้สินค้าของคุณปรากฏต่อสายตาของผู้ซื้อที่มีความต้องการสูง ในรูปแบบที่ดึงดูดสายตาและง่ายต่อการตัดสินใจ ทำให้เป็นหนึ่งในช่องทางสร้างยอดขายที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด
เปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้าด้วยประสบการณ์จริง
ที่ MSKMedia เราได้ช่วยร้านค้าออนไลน์มากมายเปลี่ยนจากร้านค้าที่ไม่มีใครเห็น มาเป็นแบรนด์ที่มียอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดดผ่าน Google Shopping Ads เราเข้าใจดีว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากการตั้งค่าพื้นฐาน แต่มาจากการทำความเข้าใจข้อมูลสินค้าเชิงลึก, การปรับปรุง Product Feed อย่างต่อเนื่อง, และการวางกลยุทธ์ราคาที่เฉียบคม บทความนี้จึงกลั่นกรองจากประสบการณ์ตรงของเราเพื่อเป็นคู่มือให้คุณโดยเฉพาะ
Google Shopping Ads แตกต่างจากโฆษณาแบบ Search Ads อย่างไร?
ความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดคือรูปแบบการแสดงผล:
- Search Ads: เป็นโฆษณาแบบ “ข้อความ” (Text-based) ที่คุณเขียนขึ้นเองและจะแสดงเมื่อมีคนค้นหาคีย์เวิร์ดที่คุณกำหนดไว้
- Google Shopping Ads: เป็นโฆษณาแบบ “รูปภาพสินค้า” (Image-based) ที่แสดงข้อมูลสำคัญ เช่น รูป, ชื่อสินค้า, ราคา, และชื่อร้านค้า โดย Google จะดึงข้อมูลเหล่านี้มาจาก “Product Feed” ของคุณโดยอัตโนมัติ และแสดงโฆษณาตามความเกี่ยวข้องกับคำค้นหาของผู้ใช้
โฆษณารูปแบบนี้มักจะมีอัตราการคลิก (CTR) ที่สูงกว่า เพราะผู้ซื้อสามารถเห็นภาพและราคาสินค้าได้ทันที ช่วยกรองคนที่ไม่สนใจออกไปและดึงดูดเฉพาะคนที่สนใจจริงๆ
เบื้องหลังการทำงาน: Google Merchant Center และ Product Feed
หัวใจสำคัญของการทำ Google Shopping Ads มีสองส่วนหลักที่คุณต้องรู้จัก:
- Google Merchant Center (GMC): นี่คือ “ศูนย์กลางข้อมูล” ที่คุณต้องอัปโหลดข้อมูลสินค้าทั้งหมดของคุณเข้าไป GMC จะทำหน้าที่ตรวจสอบและจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้เพื่อให้ Google Ads นำไปใช้สร้างโฆษณา
- Product Feed: คือไฟล์ข้อมูล (เช่น สเปรดชีต) ที่รวบรวมรายละเอียดทั้งหมดของสินค้าแต่ละชิ้นในร้านของคุณอย่างเป็นระบบ คุณภาพและความสมบูรณ์ของข้อมูลในไฟล์นี้ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของโฆษณา
ส่วนประกอบสำคัญใน Product Feed ที่คุณต้องรู้
การสร้าง Product Feed ที่มีคุณภาพคือเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ ที่ MSKMedia เราให้ความสำคัญกับรายละเอียดในส่วนนี้เป็นพิเศษ เพราะมันคือพิมพ์เขียวที่บอก Google ว่าสินค้าของคุณคืออะไร
Attribute (แอตทริบิวต์) | ตัวอย่าง (Example) | ความสำคัญ (Importance) |
id | SHOE001-RED-42 | รหัสสินค้าที่ไม่ซ้ำกันสำหรับสินค้าแต่ละชิ้น |
title | รองเท้าวิ่ง Nike ZoomX สีแดง - ชาย เบอร์ 42 | ชื่อสินค้าที่ชัดเจนและมีคีย์เวิร์ดสำคัญ ควรใส่แบรนด์, ประเภท, สี, ขนาด |
description | รองเท้าวิ่งน้ำหนักเบาพร้อมเทคโนโลยีซัพพอร์ต... | คำอธิบายสินค้าโดยละเอียด ช่วยให้ Google เข้าใจสินค้าของคุณมากขึ้น |
link | https://yourstore.com/nike-zoomx-red-42 | ลิงก์ตรงไปยังหน้าสินค้าบนเว็บไซต์ของคุณ |
image_link | https://yourstore.com/images/shoe001.jpg | ลิงก์ไปยังรูปภาพสินค้าหลักที่คมชัดและมีพื้นหลังสีขาว |
price | 4500.00 THB | ราคาสินค้าที่ตรงกับหน้าเว็บไซต์ พร้อมสกุลเงิน |
availability | in stock | สถานะสินค้า (มีในสต็อก, ไม่มี, หรือสั่งจองล่วงหน้า) |
brand | Nike | ชื่อแบรนด์ของสินค้า |
gtin | 194502396321 | บาร์โค้ดสากล (UPC, EAN, ISBN) ช่วยให้ Google ระบุสินค้าของคุณได้แม่นยำ |
ประเภทของแคมเปญ Google Shopping Ads
ปัจจุบัน การสร้างแคมเปญ Shopping Ads สามารถทำได้หลักๆ สองรูปแบบ:
Standard Shopping Campaigns
เป็นแคมเปญรูปแบบดั้งเดิมที่ให้คุณควบคุมได้มากกว่า คุณสามารถกำหนดราคาประมูล (Bids) และตั้งค่า Negative Keywords ได้ด้วยตัวเอง เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์และต้องการจัดการรายละเอียดเชิงลึก
Performance Max Campaigns (PMax)
เป็นแคมเปญรูปแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ Google โดยจะนำ Product Feed ของคุณไปสร้างโฆษณาและแสดงผลในทุกช่องทางของ Google (Search, Shopping, YouTube, Display, Discover, Gmail) โดยอัตโนมัติเพื่อเพิ่ม Conversion สูงสุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์โดยให้ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเป็นหลัก และเป็นรูปแบบที่ Google แนะนำในปัจจุบัน
กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพ Google Shopping Ads ให้ได้ผลสูงสุด
- ใช้รูปภาพคุณภาพสูง: รูปภาพคือสิ่งแรกที่ลูกค้าเห็น ควรคมชัด, สว่าง, และแสดงสินค้าบนพื้นหลังสีขาวสะอาดตา
- ปรับปรุงชื่อสินค้า (Product Title): ใส่ข้อมูลที่สำคัญที่สุดไว้ข้างหน้า เช่น แบรนด์, ประเภทสินค้า, และคุณสมบัติเด่น เพราะเป็นส่วนที่ส่งผลต่อการแสดงผลมากที่สุด
- ใช้ Negative Keywords: (ในแคมเปญ Standard) เพื่อป้องกันไม่ให้โฆษณาของคุณไปแสดงในคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้อง ช่วยประหยัดงบประมาณ
- แบ่งกลุ่มสินค้าด้วย Custom Labels: จัดกลุ่มสินค้าตามเกณฑ์ของคุณเอง เช่น สินค้าขายดี, สินค้าตามฤดูกาล, หรือสินค้าที่มีกำไรสูง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและวางกลยุทธ์ได้ง่ายขึ้น
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
สำหรับสินค้าใหม่ที่มีแบรนด์ การมี GTIN เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งและช่วยให้โฆษณามีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่สำหรับสินค้าสั่งทำพิเศษ, สินค้ามือสอง, หรือสินค้าโบราณ อาจได้รับการยกเว้น แต่ควรตรวจสอบนโยบายล่าสุดของ Google เสมอ
ได้ แต่คุณต้องระบุ “condition” (สภาพสินค้า) ใน Product Feed ของคุณให้ชัดเจนว่าเป็น “used” หรือ “refurbished” เพื่อให้ข้อมูลถูกต้องและเป็นไปตามนโยบาย
ไม่มีขั้นต่ำตายตัว แต่สำหรับร้านค้าออนไลน์ การเริ่มต้นด้วยงบประมาณ 300-500 บาทต่อวันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเก็บข้อมูลและดูแนวโน้ม จากนั้นจึงค่อยๆ ปรับเพิ่มตามผลลัพธ์ที่ได้
อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น Product Feed มีข้อผิดพลาดและไม่ได้รับการอนุมัติ, ราคาประมูลต่ำเกินไป, หรือนโยบายเว็บไซต์ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของ Google Merchant Center
ได้ คุณสามารถใช้ฟีเจอร์ “Product groups” ในแคมเปญเพื่อเลือกบริหารจัดการและลงโฆษณาเฉพาะสินค้าที่คุณต้องการได้
References
เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Google Shopping Ads และ E-commerce Marketing เพิ่มเติม นี่คือแหล่งข้อมูลคุณภาพที่คุณไม่ควรพลาด:
- Google Merchant Center Help: แหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก Google ที่ตอบทุกคำถามเกี่ยวกับการใช้งาน Merchant Center และ Product Feed https://support.google.com/merchants/
- Shopify Blog – The Ultimate Guide to Google Shopping: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับผู้ใช้งาน Shopify (และร้านค้าทั่วไป) ในการเริ่มต้นกับ Google Shopping (ภาษาอังกฤษ) https://www.shopify.com/blog/google-shopping
- BigCommerce Blog – Google Shopping Ads Guide: อีกหนึ่งคู่มือคุณภาพที่เจาะลึกกลยุทธ์และเทคนิคต่างๆ สำหรับร้านค้าออนไลน์ (ภาษาอังกฤษ) https://www.bigcommerce.com/blog/google-shopping-ads/