จ่ายเงินยิงโฆษณาไปตั้งเยอะ แต่ไม่มีลูกค้าใหม่เลยใช่ไหมครับ?
หลายครั้งที่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สินค้า หรือหน้า Landing Page แต่เป็นเพราะคุณเลือกคีย์เวิร์ดไม่ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริง ๆ
บทความนี้จะพาไปรู้จักวิธีเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับ Google Ads ที่แม่นยำ ใช้แล้วมีคนคลิก และที่สำคัญ…เปลี่ยนคนคลิกให้กลายเป็นลูกค้า!
ทำไมการเลือกคีย์เวิร์ดถึงสำคัญกับ Google Ads?
ลองนึกภาพง่าย ๆ ครับ ถ้าคนค้นหาด้วยคำว่า “แจกฟรี” แต่โฆษณาคุณพูดเรื่อง “ขาย” ผลลัพธ์ก็คือ…
คนคลิกเข้ามา แต่ไม่ซื้อ = คุณเสียเงินเปล่า!
นี่คือเหตุผลที่เราต้องเข้าใจ Keyword Intent หรือ “ความตั้งใจ” ของคนที่ค้นหา
- คีย์เวิร์ดที่มี Intent ซื้อ = มีโอกาสได้ Conversion
- คีย์เวิร์ดกว้าง ๆ = คนสนใจ แต่อาจจะยังไม่พร้อมซื้อ
5 ขั้นตอนการเลือกคีย์เวิร์ด Google Ads แบบมืออาชีพ

1. วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย
เริ่มจากคำถามง่าย ๆ: ลูกค้าคุณคือใคร? เขามีปัญหาอะไร? และเขาจะค้นหาด้วยคำว่าอะไร?
ใช้ Buyer Persona มาช่วยระบุว่าเขาค้นหาบน Google ด้วยคำไหนเวลามีปัญหา
2. เริ่มจากบริการที่ทำกำไรหรือปิดการขายได้ดีที่สุด
โดยทั่วไป เรามักจะแนะนำลูกค้าว่า ก่อนจะเริ่มเลือกคีย์เวิร์ด ควรเริ่มจากการวางแผนให้ชัดเจนว่าเราจะยิงโฆษณาเพื่อโปรโมท “บริการไหน” เป็นหลัก เพราะหลายธุรกิจมีสินค้าและบริการหลายประเภท ถ้านำทุกอย่างมายิงแอดพร้อมกัน นอกจากจะใช้งบเยอะแล้ว ยังทำให้โฟกัสไม่ชัดอีกด้วย
สิ่งที่เราแนะนำคือให้เริ่มจาก “บริการที่ทำกำไรได้สูงที่สุด” หรือ “บริการที่ปิดการขายได้ง่ายที่สุด” เพราะเมื่อยิงแอดแล้วได้ Conversion กลับมาเร็ว จะช่วยให้เรานำข้อมูลมาต่อยอดและขยายแคมเปญในอนาคตได้ง่ายยิ่งขึ้น
3. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด (Google Keyword Planner)
- เริ่มจาก Discover New Keywords
- ปรับ Language และ Location ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
- พิมพ์บริการที่เราต้องการลงไป เช่น “บริการทำบัญชี”, “บริการจดทะเบียนบริษัท”, ฯลฯ
- Google จะโชว์ปริมาณการค้นหา, แนวโน้ม, และราคาประมูล (CPC)
- ใช้ฟีเจอร์ Refine Keywords เพื่อกรองคำไม่เกี่ยวข้อง
4. โฟกัสไปที่ High-Buying Intent Keyword
แนะนำว่า คำที่มีความหมายชัดเจนว่าคนกำลังต้องการซื้อ เช่น “ติดฟิล์มรถยนต์ 3M รังสิต” ดีกว่าคำกว้าง ๆ อย่าง “ติดฟิล์มรถยนต์” ซึ่งมีความหมายหลากหลายและไม่ตรงเป้า
- เลือกคำที่มีเจตนาซื้อจริง เช่น “ซ่อมแอร์พระราม 2”, “ซื้อเครื่องกรองน้ำ สำหรับคอนโด”, “ติดตั้งกล้องวงจรปิด บ้านเดี่ยว”
5. วางโครงสร้างคีย์เวิร์ดให้สอดคล้องกับโฆษณา (Ad Group Structure)
เมื่อเราได้คีย์เวิร์ดที่แม่นยำและมีคุณภาพแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อไปคือการจัดกลุ่มคีย์เวิร์ดให้สอดคล้องกับโฆษณาในแต่ละกลุ่ม (Ad Group) เพื่อให้ข้อความโฆษณาตรงกับความตั้งใจของผู้ค้นหาแบบเฉพาะเจาะจง ไม่ใช่แค่เพิ่ม CTR แต่ช่วยให้ Conversion ดีขึ้นจริง เพราะโฆษณา “พูดภาษาเดียวกับที่คนค้นหาใช้”
ตัวอย่างการวางโครงสร้างแคมเปญ
สมมุติ: ผมเป็นเจ้าของบริษัทที่ให้บริการ รับทำบัญชี และ รับจดทะเบียนบริษัท
ตอนนี้ผมกำลังโฟกัสหากลุ่มลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะ ผู้ขายของออนไลน์
ไม่ว่าจะขายผ่าน Shopee, Lazada, TikTok Shop, Facebook Page หรือเว็บไซต์ของตัวเอง
เพราะผมเห็นว่าแม่ค้าออนไลน์หลายคนเริ่มมีรายได้มากขึ้น บางคนมีรายได้ต่อเดือนหลักแสน
ซึ่งจริง ๆ แล้ว รายได้ถึงเกณฑ์ที่ควรจดทะเบียนบริษัท และเริ่มจัดการเรื่องภาษีให้ถูกต้อง
แต่ปัญหาคือ…
หลายคนยังไม่รู้ว่าต้องเริ่มยังไง
ไม่รู้จะจดบริษัทแบบไหนดี
กลัวโดนภาษีย้อนหลัง
และไม่ถนัดเรื่องเอกสารหรือการทำบัญชีเลย
:📦 แคมเปญที่ 1: บริการทำบัญชี
Ad Group | Keyword ตัวอย่าง | เจตนาของผู้ค้นหา |
รับทำบัญชี | บริษัทรับทำบัญชี,รับทำบัญชี | หาข้อมูล/บริษัทรับทำบัญชีทั่วไป อาจจะต้องการจัดการเรื่องบัญชีแต่ยังไม่รู้ว่าเริ่มตรงไหน |
📌Target Persona📌 รับทำบัญชีแม่ค้าออนไลน์ | รับทำบัญชีแม่ค้าออนไลน์,บัญชีสำหรับขายของออนไลน์,ทําบัญชีขายของใน Shopee / Lazada | สำหรับผู้ที่ขายของออนไลน์ รายได้ถึงเกณฑ์ อยากได้บริษัทช่วยจัดการเรื่องภาษี |
บัญชีรายเดือน | ทำบัญชีรายเดือน, รับทำบัญชี SME, บริษัทรับทำบัญชีร้านค้า | ต้องการจ้างบริษัทบัญชีดูแลรายเดือน เช่น การจัดทำรายรับรายจ่าย, ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และรายงานภาษีต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง |
บัญชีรายปี | ทำบัญชีรายปี, บริการบัญชีประจำปี, ราคาทำบัญชีรายปี | ต้องการทำบัญชีรายปีเพื่อยื่นงบการเงินและภาษี มองหาบริษัทบัญชีที่ช่วยดำเนินการให้ถูกต้องและครบถ้วน |
บริษัทบัญชีใกล้ฉัน | บริษัทบัญชี กรุงเทพ, สำนักงานบัญชี ใกล้ฉัน, รับทำบัญชี เขตบางนา | อยากได้คนทำบัญชีใกล้บ้านหรือมีสำนักงานใกล้เพื่อความสะดวกเวลาติดต่อส่งเอกสาร |
🏢 แคมเปญที่ 2: บริการจดทะเบียนบริษัท
Ad Group | Keyword ตัวอย่าง | เจตนาของผู้ค้นหา |
จดทะเบียนบริษัท | จดทะเบียนบริษัท,เปิดบริษัท,การจัดตั้งบริษัท | ต้องการเริ่มต้นธุรกิจในรูปแบบบริษัทจำกัด และกำลังหาข้อมูลหรือบริการที่ช่วยจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทอย่างถูกต้อง |
จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน / หจก | จดทะเบียน หจก,จดทะเบียน ห้างหุ้นส่วน,การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน | ต้องการเริ่มต้นธุรกิจในรูปแบบห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนสามัญ และกำลังมองหาบริการช่วยดำเนินการจดทะเบียนตามขั้นตอนของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า |
จดทะเบียนบริษัทใกล้ฉัน | รับจดทะเบียนบริษัทใกล้ฉัน | ต้องการใช้บริการจดทะเบียนบริษัทจากผู้ให้บริการที่อยู่ใกล้บ้านหรืออยู่ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อความสะดวกในการติดต่อหรือส่งเอกสาร |
เลิกบริษัท/ปิดบริษัท | ปิดบริษัท,จดทะเบียนเลิกบริษัท, | ต้องการยกเลิกหรือปิดกิจการที่จดทะเบียนไว้แล้ว และกำลังหาผู้ให้บริการที่สามารถช่วยดำเนินการขั้นตอนการเลิกบริษัทให้ถูกต้องตามกฎหมาย |
ตัวอย่างความแตกต่างของคีย์เวิร์ด
ก่อนปรับคีย์เวิร์ด:
- ใช้คำว่า “ทำบัญชี”
- CTR: 1.1% | Conversion Rate: 1.8%
หลังปรับคีย์เวิร์ด:
- ใช้คำว่า “รับทำบัญชีสำหรับแม่ค้าออนไลน์”
- CTR: 4.3% | Conversion Rate: 8.9%
เห็นไหมครับ แค่เปลี่ยนคีย์เวิร์ดจากคำกว้าง ๆ มาเป็นคำที่มีเจตนาซื้อชัดเจน ก็ทำให้ Conversion ดีขึ้นแบบชัดเจน!
*ข้อควรระวัง: โฆษณาของเราจะแสดงก็ต่อเมื่อ “มีคนค้นหา คำที่เราเลือกซื้อ” หากไม่มีคนค้นหน้า โฆษณาของเราจะไม่แสดง ดังนั้นให้ดู Search Volume ด้วย
สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิดสำหรับการทำ Google Ads

1. คิดว่าคีย์เวิร์ดยิ่งกว้าง ยิ่งดี
หลายคนเชื่อว่าการใช้คีย์เวิร์ดกว้าง ๆ อย่าง “บัญชี” หรือ “รับทำบัญชี” จะช่วยให้โฆษณาเข้าถึงคนได้เยอะขึ้น แต่ความจริงคือ…คนที่ค้นหาคำกว้าง ๆ มักยังไม่ได้มีเจตนาซื้อ ทำให้คุณจ่ายค่าคลิกแพง โดยไม่ได้ลูกค้าแม้แต่คนเดียว ถ้าจะให้ได้ผลลัพธ์ ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่มีความตั้งใจซื้อชัดเจน (High Buying Intent)
2. ยิงก่อน แล้วค่อยปรับ
แนวคิดแบบ “ลองยิงดูก่อน เดี๋ยวค่อยดูว่าเวิร์กไหม” ฟังดูง่าย แต่ในโลกของ Google Ads มันคือกับดักที่ทำให้คุณเสียเงินโดยไม่จำเป็น หากไม่มีการวางแผนเรื่องกลุ่มเป้าหมาย คีย์เวิร์ด หรือโครงสร้างแคมเปญให้ดีตั้งแต่แรก โอกาสเสียเงินโดยไม่ได้ Conversion ก็สูงมาก
3. ใช้แต่เครื่องมือ third-party ไม่ใช้ Google Keyword Planner
Ubersuggest, SEMrush, หรือ Ahrefs มีประโยชน์ในการหาไอเดียคีย์เวิร์ดก็จริง แต่ข้อมูลที่ได้มักเป็นการคาดการณ์ ไม่ใช่ข้อมูลจริงจาก Google ต่างจาก Google Keyword Planner ที่ดึงข้อมูลตรงจากระบบโฆษณา Google Ads จึงให้ข้อมูลที่แม่นยำกว่า ทั้งเรื่องปริมาณการค้นหา แนวโน้ม และราคาต่อคลิก ควรใช้เป็นเครื่องมือหลักเสมอ
ลักษณะการเลือกคีย์เวิร์ดที่ดี
- ต้อง ตรงกับความตั้งใจ (Intent) ของผู้ค้นหา เช่น คนค้นหาต้องการ “ซื้อ” ไม่ใช่แค่ “หาข้อมูล”
- มี แนวโน้มที่จะปิดการขายได้จริง ไม่ใช่แค่มีคนคลิก
- เลือกคำที่มี ค่า CPC เหมาะสม ไม่สูงเกินจนไม่คุ้มค่า
- มีการใช้ Negative Keywords เพื่อป้องกันคลิกที่ไม่เกี่ยวข้อง
- เริ่มจาก บริการที่ให้กำไรสูง เพื่อทดสอบผลลัพธ์ให้คุ้มทุน
- ใช้ Google Keyword Planner เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจริงก่อนตัดสินใจ
หากคุณยังไม่มั่นใจว่าจะเลือกคีย์เวิร์ดอะไรดี ลองปรึกษาทีม MSK Media ดูครับ เรามีทีมเชี่ยวชาญวิเคราะห์คีย์เวิร์ดให้แม่น พร้อมวางแคมเปญ Google Ads ที่เปลี่ยนคลิกให้เป็นยอดขายแบบเห็นผล
ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกคีย์เวิร์ด
เพราะมันพิสูจน์มาแล้วว่าขายได้จริง
ถ้าสินค้าตัวไหนปิดการขายง่ายอยู่แล้ว การเอามายิงแอดจะยิ่งช่วยเร่งยอดเข้าไปอีก
พอมีเงินหมุนเวียนจากยอดขายตัวนี้ ก็เอาไปลงทุนกับสินค้าตัวอื่นที่ยังขายไม่ดีได้แบบไม่เสี่ยง
แต่ถ้าเริ่มจากสินค้าที่ขายไม่ดี ยิงไปก่อนเลย มันคือการเอางบไปทิ้ง เพราะไม่มีข้อพิสูจน์ใด ๆ ที่ยืนยันว่าสินค้านั้นขายได้จริงหรือไม่
Key Takeaway:
เริ่มจากสินค้าที่ขายดีอยู่แล้ว เพื่อใช้ Google Ads เป็น “ตัวเร่ง” ไม่ใช่ “ตัวทดลอง”
ได้ยินคำนี้บ่อยมาก และสิ่งแรกที่ต้องย้อนกลับไปดูคือ Landing Page ก่อนเลย ไม่ใช่คีย์เวิร์ด
หลายเคสที่เจอ ยิงแอดลงมาหน้าเว็บที่ไม่ตอบโจทย์ ไม่ตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ หรือไม่มี Call to Action ชัดเจน สุดท้ายแม้จะคลิกเข้ามา ก็ไม่เกิด Conversion.
Key Takeaway:
ก่อนโฟกัสคีย์เวิร์ด ต้องมั่นใจว่า Landing Page พร้อมปิดการขาย
หลังจากนั้น ให้เลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงเจตนาซื้อชัด ๆ เช่น
❌ “ทำบัญชี” → อาจแค่หาข้อมูล
✅ “จ้างทำบัญชี SME รายเดือน” → กำลังหาเพื่อซื้อจริง
📎 ลิงก์นี้อธิบายเรื่อง Landing Page ที่ดีไว้ครบมาก → เพิ่ม Conversion ด้วย Landing Page
เจอหลายคนชอบใช้ Ubersuggest หรือ Ahrefs ซึ่งใช้ได้ในแง่ของการหาไอเดีย แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าข้อมูลจากเครื่องมือเหล่านี้เป็นแค่การคาดการณ์ ไม่ได้มาจากระบบจริง
สิ่งที่เราใช้เป็นหลักคือ Google Keyword Planner เพราะดึงข้อมูลจากระบบโฆษณาจริงของ Google โดยตรง ทั้งปริมาณการค้นหา แนวโน้ม และราคาต่อคลิก แม่นยำในระดับนึงเลยครับ
Key Takeaway:
วางแผนจากข้อมูลจริงเสมอ — Google Keyword Planner คือตัวหลัก
เครื่องมืออื่นใช้เสริมเพื่อหาไอเดียได้ แต่ไม่ควรใช้แทนในการตัดสินใจ
เพราะคนที่เสิร์ชคีย์เวิร์ดกว้าง ๆ มักยังไม่ได้อยากซื้อ
เขาอาจแค่หาข้อมูล ดูราคา หรือแค่ลองค้นเฉย ๆ
แต่เรากลับต้องเสียเงินให้คลิกนั้นแบบไม่มีทางปิดการขายได้เลย
เช่น คำว่า “ทำบัญชี” กับ “ทำบัญชีสำหรับแม่ค้าออนไลน์” — แค่เปลี่ยนคำเดียว ความตั้งใจคนละเรื่อง
Key Takeaway:
ยิงคีย์เวิร์ดที่คนมี “เจตนาซื้อ” ชัดเจนจะได้ลูกค้าจริง ไม่ใช่แค่จำนวนคลิก
ถ้าอยากได้ Conversion ต้องมีครับ
หน้าเว็บทั่วไปมักมีหลายเมนู คนเข้าแล้วหลงทาง
Landing Page จะเน้นแค่เรื่องเดียว พาให้คนตัดสินใจง่ายขึ้น
Key Takeaway:
Landing Page ที่ดีเหมือนเซลล์มืออาชีพ — มีหน้าที่เดียวคือปิดการขาย