เปรียบเทียบ Keyword Match Type ทั้ง 3 แบบ พร้อมวิธีเลือกใช้

สารบัญ
keyword tyoes

เคยไหม…เปิดดูบัญชี Google Ads ตอนเช้าแล้วพบว่า งบโฆษณาหมดแล้ว ทั้งที่ขายไม่ได้เลย ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากการเลือก keyword ผิดเลยซะทีเดียว แต่อาจเป็นเพราะคุณยังไม่ได้ตั้งค่า Keyword Match Type ให้เหมาะสม

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจ Keyword Match Type ทั้ง 3 แบบ พร้อมแนะนำวิธีเลือกใช้ให้เหมาะกับเป้าหมาย ไม่ว่าคุณจะเน้นยอดขาย หาลูกค้าใหม่ หรือสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก


Keyword Match Type คืออะไร?

ใน Google Ads “คีย์เวิร์ด” ที่คุณใส่ในแคมเปญนั้น จะไม่แสดงผลตรงตามคำที่ใส่ไว้ 100% เสมอไป แต่จะขึ้นอยู่กับ “ประเภทของการจับคู่คำค้นหา” หรือที่เรียกว่า Keyword Match Type

พูดง่ายๆ คือ Match Type คือกฎที่คุณตั้งไว้ว่า โฆษณาจะปรากฏเมื่อคนค้นหาด้วยคำใกล้เคียงแค่ไหน หากเลือกผิด คำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้องก็อาจกินงบของคุณไปเรื่อยๆ โดยไม่สร้างยอดขายเลย


Keyword Match Type ทั้ง 3 แบบ

Broad Match (แบบกว้าง)

ทำงานอย่างไร:
โฆษณาจะแสดงเมื่อคำค้นหานั้น “มีความหมายคล้ายกับ” คำหลักของคุณ แม้จะไม่มีคำเหมือนเป๊ะ

broad Keyword Match Type

ตัวอย่าง:
คุณใส่คำว่า รองเท้าผู้ชาย
โฆษณาอาจแสดงเมื่อมีคนค้นว่า: รองเท้าลำลอง, ซื้อรองเท้าผู้ชายออนไลน์, รองเท้าแฟชั่นผู้ชาย

ข้อดี:

 – ครอบคลุมคำค้นหาหลากหลาย

 – ช่วยค้นหา Keyword ใหม่ๆ ที่อาจไม่เคยนึกถึง

ข้อเสีย:

 – มีโอกาสแสดงกับคำค้นหาที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย

 – ควบคุมคุณภาพการแสดงผลได้ยากกว่าแบบอื่น

 – ต้องใช้ Negative Keyword เข้ามาคุมด้วย ไม่งั้นงบประมาณจะหมดเร็วมาก

เหมาะกับใคร:

 – แบรนด์ใหม่ที่ต้องการเพิ่ม Reach

 – แคมเปญสร้างการรับรู้ หรือทดสอบตลาด

– แบรนด์ที่มีสินค้าหลายชนิด


Phrase Match (แบบวลี)

ทำงานอย่างไร:
โฆษณาจะแสดงเมื่อคำค้นหานั้น “มีวลีตรงกับคีย์เวิร์ดที่กำหนด” และอาจมีคำอื่นต่อหน้าหรือหลังได้

phase Keyword Match Type

ตัวอย่าง:
คุณใส่คำว่า “รองเท้าผู้ชาย”
โฆษณาอาจแสดงเมื่อค้นว่า: ซื้อรองเท้าผู้ชาย, รองเท้าผู้ชายราคาถูก
แต่จะไม่แสดงถ้าคำเรียงต่างไปมาก เช่น รองเท้ากีฬา ผู้ชาย

ข้อดี:

 – คุมความแม่นยำได้มากกว่ากว้าง

 – ยืดหยุ่นกว่าการจับคู่แบบ Exact

ข้อเสีย:

 – อาจพลาดคำค้นหาที่มีการเรียงคำต่างไปเล็กน้อย

 – อาจไม่ครอบคลุมคำค้นหาบางแบบ

เหมาะกับใคร:

 – ธุรกิจที่เริ่มมีข้อมูล Keyword เป้าหมาย อยู่บ้าง

 – ต้องการ Conversion แต่ยังอยากได้ Reach ที่เหมาะสม

 – Match Type ชนิดนี้เหมาการทำ Google Ads แทบจะทั้งหมด


Exact Match (ตรงแบบคำเป๊ะ)

ทำงานอย่างไร:
โฆษณาจะปรากฏเมื่อคนค้นหาคำที่ “เหมือนหรือใกล้เคียงมากๆ” กับคีย์เวิร์ดที่คุณใส่ เช่น การเปลี่ยนรูปคำหรือสะกดต่างกันเล็กน้อย

broad Keyword Match Type

ตัวอย่าง:
คุณใส่คำว่า [รองเท้าผู้ชาย]
โฆษณาแสดงเมื่อค้นว่า: รองเท้าผู้ชาย

ข้อดี:

– ควบคุมคุณภาพของคนคลิกได้สูง

– เหมาะกับแคมเปญที่ต้องการผลลัพธ์แบบเจาะจง

ข้อเสีย:

– เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายน้อยกว่า

– พลาดโอกาสจากคำค้นหาอื่นที่ใกล้เคียง

เหมาะกับใคร:

– ธุรกิจที่เน้น Conversion เท่านั้น

– มีงบจำกัด และรู้กลุ่มเป้าหมายชัดเจน

ข้อมูลอ้างอิงจาก Google Ads Help – Keyword Match Types


วิธีใส่เครื่องหมาย Match Type พร้อมเครื่องมือช่วย

เวลาเลือก Match Type ใน Google Ads เราต้องใส่ “เครื่องหมายพิเศษ” เพื่อให้ระบบรู้ว่า คำที่ใส่เป็นแบบไหน

  • Broad Match (ตรงแบบกว้าง):
    ไม่ต้องใส่เครื่องหมาย → เช่น: รองเท้าผู้ชาย
  • Phrase Match (ตรงแบบวลี):
    ใส่เครื่องหมาย “…” → เช่น: “รองเท้าผู้ชาย”
  • Exact Match (ตรงแบบคำเป๊ะ):
    ใส่เครื่องหมาย […] → เช่น: [รองเท้าผู้ชาย]

ใช้เครื่องมือช่วยจัดรูปแบบ

หากใครที่ยังไม่แน่ใจว่า ใส่เครื่องหมายอย่างไร เพื่อให้ได้ Match Type ที่ต้องการ
แนะนำให้เ
ครื่องมือ https://www.keywordmatchtypetool.com/

ใส่เครื่องหมาย keyword match type

วิธีใช้:

  1. ใส่ Keyword เป้าหมายของคุณ
  2. เลือกประเภท Match Type ที่ต้องการ (Broad / Phrase / Exact)
  3. กดปุ่ม Make Keyword List
  4. ระบบจะแสดง Keyword พร้อมเครื่องหมายที่ถูกต้อง
  5. กด Copy Results แล้วนำไปวางในบัญชี Google Ads ได้เลย

ใช้ง่ายมาก ไม่ต้องมานั่งพิมพ์เองทีละคำ!


Keyword Match Type แบบไหนที่เหมาะสำหรับคุณ?

แต่ละ Match Type มีจุดเด่นและจุดอ่อนต่างกัน
ไม่มีแบบไหนที่เหมาะกับทุกแคมเปญหรือทุกธุรกิจ

สิ่งสำคัญคือคุณต้องเลือกให้ตรงกับเป้าหมายของธุรกิจ
และพร้อมปรับเปลี่ยนตามข้อมูลจริงที่ได้จากการลงโฆษณา

แต่แค่เลือก Match Type อย่างเดียวอาจยังไม่พอ…

จากประสบการณ์ของเราใน MSK Media ที่ดูแลแคมเปญให้ลูกค้ามากกว่าร้อยราย
เราพบว่า… การวางโครงสร้างกลุ่มโฆษณา (Ad Group) ให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่เลือก
คืออีกปัจจัยสำคัญที่ “ทำให้จัดการแคมเปญได้ง่ายขึ้น เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น”

เราใช้วิธีที่เรียกว่า…

STAG: Single Theme Ad Group
การแยกกลุ่มโฆษณาตามธีมของคีย์เวิร์ด เพื่อให้ข้อความโฆษณาและหน้า Landing Page
ตรงกับความตั้งใจของผู้ค้นหามากที่สุด

– จัดการ Performance ในแคมเปญได้ง่ายขึ้น
– วิเคราะห์ประสิทธิภาพแต่ละกลุ่มได้แม่นขึ้น
– ปรับแต่ง Conversion Rate และ Quality Score ได้ง่ายกว่าเดิม

ถัดจากนี้เราจะพาคุณไปรู้จักวิธีใช้ STAG แบบ Step-by-Step
เพื่อให้ Keyword ที่คุณเลือก ไม่ใช่แค่ “แมตช์ถูก” แต่ “แมตช์แล้วได้ผลลัพธ์” ด้วย


จัดโครงสร้างกลุ่มโฆษณาแบบ STAG (Single Theme Ad Group)

การเลือก Keyword Match Type ที่ดี จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้า คุณจัดโครงสร้างกลุ่มโฆษณา (Ad Group) ให้ตรงกับธีมของแต่ละกลุ่มคำ

หนึ่งในเทคนิคที่มืออาชีพใช้คือ STAG หรือ Single Theme Ad Group

STAG คืออะไร?

STAG = การสร้างกลุ่มโฆษณา 1 กลุ่ม ต่อ 1 กลุ่มคำหลัก (หรือธีมคำค้นหาที่ใกล้เคียงกันมาก)
เพื่อให้ ข้อความโฆษณาและหน้า Landing Page ตรงเป้ากับความตั้งใจของคนค้นหาที่สุด

วิธีทำ STAG อย่างง่าย

  1. แยกกลุ่มคำหลักตามความตั้งใจของผู้ค้นหา (Search Intent)
    เช่น คนที่หาคำว่า “รองเท้าแตะผู้ชาย” กับ “รองเท้าหนังทำงาน” ไม่ได้อยู่ใรหมวดหมู่เดียวกัน แม้จะเป็น รองเท้าเหมือนกัน ควรแยก Ad Group
  2. เลือก Keyword แบบ Match Type ให้เหมาะกับกลุ่มนั้น
    เช่น Exact หรือ Phrase สอดคล้องกับธีม
  3. เขียน Ad Copy ให้ตรงกับ Keyword ในกลุ่มนั้น
    ใส่คีย์เวิร์ดลงใน Headline, Description
  4. เชื่อมโยงกับ Landing Page ที่ตรงกับสินค้านั้น
    เช่น กลุ่มรองเท้าแตะ ควรพาไปที่หน้ารองเท้าแตะ ไม่ใช่หน้ารวมสินค้า
  5. ทดสอบและวัดผลแยกกัน
    คุณจะเห็นเลยว่า กลุ่มไหนทำยอดได้ดีกว่ากัน แล้วนำข้อมูลไปปรับเพิ่ม

ทำไมต้องใช้ STAG?

– เพิ่ม คุณภาพของโฆษณา (Quality Score)
– ทำให้ ข้อความโฆษณาตรงกับคำค้นหามากขึ้น
– ช่วยให้ CTR สูงขึ้น – CPC ต่ำลง
– เห็นภาพชัดว่า Keyword ไหนได้ผลหรือไม่

ตัวอย่าง: จากแบบทั่วไป → สู่แบบ STAG

แบบทั่วไป (ไม่ใช้ STAG):
แคมเปญโฆษณารองเท้าถูกจัดแบบรวมๆ โดยใส่คีย์เวิร์ดหลากหลายไว้ในกลุ่มเดียว

not stag

Ad Group: รองเท้า
– รองเท้าแตะผู้ชาย
– รองเท้าหนังแท้
– รองเท้าผ้าใบแฟชั่น
– รองเท้า sneaker
– รองเท้าลำลองผู้ชาย

รูปแบบนี้จะทำให้ การดูภาพรวมของแคมเปญยุ่งยากขึ้น เพราะคีย์เวิร์ดต่างประเภทถูกรวมอยู่ในกลุ่มเดียว
ที่สำคัญคือ ข้อความโฆษณาที่เขียนในกลุ่มนี้ มักจะต้องเขียนแบบกว้างๆ เพื่อให้ครอบคลุมทุกคำ
ทำให้โฆษณา “ไม่มุ่งเป้าชัดเจน” เท่าที่ควร

แบบ STAG (แยกตามธีมคีย์เวิร์ด):
เมื่อเปลี่ยนมาใช้แนวทาง STAG คุณจะแยกคีย์เวิร์ดออกตามเจตนาของผู้ค้นหา

Ad Group: รองเท้าแตะ
– รองเท้าแตะผู้ชาย

– รองเท้าแตะ

– รองเท้าแตะใส่สบาย

Ad Group: รองเท้าหนัง
– รองเท้าหนังแท้

– รองเท้าหนังทำงาน

Ad Group: รองเท้าผ้าใบ
– รองเท้าผ้าใบชาย

– รองเท้า sneaker

– รองเท้าผ้าใบแฟชั่น

พอแต่ละกลุ่มมีธีมชัดเจน ก็สามารถเขียนข้อความโฆษณาให้ “ตรงกับสิ่งที่คนค้นหากำลังต้องการ” ได้มากขึ้น
ผลลัพธ์คือ CTR สูงขึ้น และ Quality Score ของคีย์เวิร์ดก็จะดีขึ้นตามไปด้วย


Keyword Match Type คือเครื่องมือควบคุม ไม่ใช่จุดเริ่มต้น

สรุป Keyword Match Type

ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ Broad, Phrase หรือ Exact Match
สุดท้ายแล้ว Keyword Match Type ก็คือวิธีการ “ควบคุม” และ “ตีกรอบ” ให้ Google แสดงโฆษณาของคุณในขอบเขตที่คุณต้องการเท่านั้น

แต่พื้นฐานที่สำคัญกว่านั้นคือ…

คุณเลือกคีย์เวิร์ดได้ถูกหรือยัง?

คุณเลือกคีย์เวิร์ดได้เหมาะกับธุรกิจของคุณหรือยัง?

เพราะต่อให้เลือก Match Type ได้แม่นแค่ไหน
ถ้าคีย์เวิร์ดไม่ตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายค้นหา หรือไม่สัมพันธ์กับธุรกิจ ก็อาจไม่ได้ผลอยู่ดี

หากคุณกำลังจะเริ่มแคมเปญ Google Ads และยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกคีย์เวิร์ดอะไรดี
แนะนำให้เข้าไปอ่านบทความอีกชิ้นของเรา ที่จะช่วยปูพื้นฐานให้คุณเข้าใจภาพรวมทั้งหมดก่อนลงมือยิงจริง

👉 วิธีเลือกคีย์เวิร์ดสำหรับ Google Ads ให้ตรงกลุ่มและได้ผลจริง

แต่ถ้าคุณอยากให้ทีมผู้เชี่ยวชาญของ MSK Media
ช่วยดูแลแคมเปญ Google Ads ให้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ตั้งแต่การวางแผน เลือกคีย์เวิร์ด จัดโครงสร้าง ไปจนถึงวัดผล

สามารถเข้าไปที่หน้าบริการ รับทำ Google Ads ของเรา แล้วทำการนัดหมายได้เลย


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Keyword Match Type

ถ้าเลือก Match Type ผิด จะส่งผลยังไงกับแคมเปญ?

Match Type ที่คุณเลือกคือสิ่งที่กำหนดว่าโฆษณาของคุณจะไปแสดงกับคำค้นหาแบบไหน
ถ้าเลือกไม่เหมาะสม เช่น ใช้ Broad Match โดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้ควบคุมอย่างดี
โฆษณาอาจถูกแสดงกับคำค้นหาที่ “ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง” กับธุรกิจของคุณ
ตัวอย่างเช่น:
หากคุณขายรองเท้าผู้ชาย แต่โฆษณาอาจไปแสดงกับคำว่า “แฟชั่นผู้ชาย” หรือ “ถุงเท้าผู้ชาย” ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับธุรกิจของคุณเลย

สิ่งที่อาจเกิดขึ้น:
– งบถูกใช้ไปกับคลิกที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
– อัตรา Conversion ต่ำ
– ประสิทธิภาพโดยรวมของแคมเปญลดลง

หากเลือกใช้ Match Type แบบที่เปิดกว้าง เช่น Broad Match
ควรตรวจสอบ Search Term Report อย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูว่าคำค้นหาใดทำให้โฆษณาถูกแสดงและคลิก
และเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการแสดงผล

แนะนำให้ใช้ Negative Keyword ควบคู่กัน เพื่อกันไม่ให้โฆษณาไปแสดงกับคำที่ไม่เกี่ยวข้องเลยตั้งแต่แรก

จำเป็นต้องใช้ Match Type ผสมกันไหม? หรือใช้แบบเดียวพอ?

ไม่จำเป็นต้องใช้หลายแบบพร้อมกันในทุกเคส
แต่ในหลายสถานการณ์ การผสม Match Type จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และคุมงบได้ดีขึ้น

ตัวอย่าง:
– เริ่มจาก Exact Match เพื่อควบคุมความแม่นยำ
– ใช้ Phrase Match เมื่อคุณขยายวงกว้างขึ้นแต่คุณรู้ keyword เป้าหมายอยู่แล้ว
– ขยาย Broad เมื่อมั่นใจว่าโฆษณาทำงานดีแล้ว หรือคุณมีสินค้าเยอะมาก

การผสมช่วยให้คุณทดสอบได้ว่า คำไหนควรลงทุนเพิ่ม และคำไหนควรตัดทิ้ง ไม่ใช่เรื่องของสูตรตายตัว แต่เป็นกลยุทธ์ที่ปรับตามแคมเปญ

ถ้ามีงบน้อย ควรเลือก Match Type แบบไหนดี?

ถ้างบจำกัด และคุณต้องการเน้นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เช่น ยอดขายหรือ Lead
Exact Match จะเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด เพราะคุณจะจ่ายเฉพาะตอนที่มีคนค้นหาคำที่ “เหมือนกับคำที่คุณตั้งไว้แบบเป๊ะๆ” เท่านั้น
แต่ก็ต้องมั่นใจว่า Keyword ที่คุณใส่นั้น “แม่นยำ” ด้วย

แต่ก็ต้องระวังว่า:
– ถ้าคำที่คุณเลือกแคบเกินไป เช่น [รองเท้าหนังใส่ทำงานสีน้ำตาล] หรือ [สินค้าชื่อเฉพาะ]
– คำที่แทบไม่มีคนค้นหาเลย


ผลคือโฆษณาจะไม่แสดง และคุณจะไม่ได้คลิกแม้แต่นิดเดียว
คำแนะนำจากเรา:
– เริ่มจาก Exact Match ประมาณ 3–5 คำ ที่คุณมั่นใจว่ามีคนค้นหา
– ตรวจสอบ Search Volume ก่อนเสมอ (ผ่าน Google Keyword Planner)
– ค่อยเพิ่ม Phrase Match เพื่อขยายขอบเขตแบบมีทิศทาง
– ดู Search Term Report เป็นระยะ เพื่อดูว่าคำไหนได้ผลและคำไหนควรหยุด

การเริ่มต้นแบบนี้จะช่วยให้คุณคุมงบได้ดี และมั่นใจว่าเงินที่จ่ายไป “ไม่เสียเปล่า”

ถ้าเลือก Match Type ได้ดีแล้ว ยังจำเป็นต้องใช้ Negative Keyword อยู่ไหม?

จำเป็นครับ และควรใช้ควบคู่กันเสมอ
แม้คุณจะตั้งค่า Match Type ได้แม่นแค่ไหนก็ตาม
ระบบของ Google ก็ยังอาจแสดงโฆษณาของคุณกับคำค้นหาที่คุณ “ไม่ได้ตั้งใจให้แสดง” ได้อยู่ดี
Negative Keyword คือวิธีที่ช่วยกรองคำที่ไม่ต้องการให้โฆษณาไปแสดง เช่น:

คำว่า “ฟรี”, “ราคาถูก”, หรือ “มือสอง”
ถ้าคุณไม่ได้แจกของฟรี ไม่เน้นขายราคาถูกที่สุดในตลาด หรือไม่ได้ขายสินค้ามือสอง ก็ควรใส่คำเหล่านี้ไว้เป็น Negative ไปเลย

คำว่า “รีวิว”
หากเป้าหมายของคุณคือการขาย ไม่ใช่แค่ให้คนเข้ามาอ่าน ก็ควรกันคำนี้ออก เพื่อไม่ให้เปลืองงบ

การใช้ Negative Keyword อย่างรอบคอบ
จะช่วยให้คุณควบคุมการแสดงโฆษณาให้แม่นยำขึ้น ประหยัดงบ และทำให้คนที่คลิกเข้ามาเป็นกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพมากกว่าเดิม

จะรู้ได้ยังไงว่า Match Type ที่ใช้อยู่ได้ผลหรือไม่?

คำตอบอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า Search Term Report
รายงานนี้จะบอกคุณว่า “คนค้นหาคำว่าอะไรจริงๆ แล้วคลิกโฆษณาเข้ามา” ไม่ใช่แค่ดูว่าคุณตั้ง Keyword ว่าอะไร

ดูรายงานนี้แล้วได้อะไรบ้าง:
-รู้ว่ามีคำไหนที่ไม่เกี่ยวข้อง → นำไปใส่เป็น Negative Keyword
-รู้ว่าคำไหนแม่นและแปลงยอดขายได้ดี → เพิ่มงบเฉพาะจุด
-ปรับ Match Type ให้เหมาะกับพฤติกรรมของลูกค้าจริง ไม่ใช่แค่เดา

การดู Search Term Report เป็นสิ่งที่เราทำให้ลูกค้าทุกเคสใน MSK Media และมักเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้แคมเปญดีขึ้นแบบชัดเจน

บทความที่น่าสนใจ